คณะกรรมการการเลือกตั้ง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) (อังกฤษ: Election Commission of Thailand) เป็นองค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น
สารบัญ |
[แก้] ประวัติและโครงสร้างองค์กร
แต่เดิมการจัดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของกองการเลือกตั้ง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต่อมาในการเลือกตั้งครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 รัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งรับผิดชอบดำเนินการเลือกตั้ง ได้ตระหนักถึงปัญหาการซื้อขายเสียงที่มีอยู่ทั่วไป จึงแต่งตั้ง "คณะกรรมการติดตามและสอดส่องดูแลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" หรือที่รู้จักกันในชื่อ องค์กรกลาง เป็นหน่วยงานอิสระไม่มีผลประโยชน์ใดๆ กับการเลือกตั้ง ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของการเลือกตั้ง และตรวจสอบการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อส่งเสริมการเลือกตั้งอย่างยุติธรรมในประเทศไทย โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วยคณะกรรมการจำนวน 5 คน ซึ่งเลือกสรรโดยวุฒิสภา ดำรงตำแหน่งได้สมัยเดียวเป็นเวลา 7 ปี (ยกเว้นชุดแรก ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน ตามเงื่อนไขใน พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง)
ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
กรรมการการเลือกตั้งต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือของราชการส่วนท้องถิ่น ไม่ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด และไม่ประกอบวิชาชีพอิสระอื่นใด
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตั้งอยู่เลขที่ 44 อาคารศรีจุลทรัพย์ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
[แก้] หน้าที่
คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
- ควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
- ออกประกาศกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
- มีคำสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
- ออกข้อกำหนดเป็นแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ
- ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งที่ใช้วิธีการแบ่งเขตเลือกตั้ง และจัดให้มีบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
- สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
- สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยเลือกตั้งใดหน่วยเลือกตั้งหนึ่งหรือทุกหน่วยเลือกตั้ง หรือสั่งให้มีการนับคะแนนใหม่ เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติในหน่วยเลือกตั้งนั้น ๆ มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
- ประกาศผลการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ
- ดำเนินการหรือประสานงานกับหน่วยราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือสนับสนุนองค์การเอกชนในการให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีและข้อสังเกตเสนอต่อรัฐสภา
- ดำเนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอื่น หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด บุคคล คณะบุคคลหรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายได้.
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช ๒๕๔๐) ม. ๑๓๖, ๑๓๙, ๑๔๔ และ ๑๔๕ และ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๔๑ ม. ๑๐ และ ๑๑
[แก้] คณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุดแรก
วาระการดำรงตำแหน่ง 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 - 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2544[1]
- ธีรศักดิ์ กรรณสูต ประธานกรรมการการเลือกตั้ง
- สวัสดิ์ โชติพานิช กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย
- ยุวรัตน์ กมลเวชช กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายจัดการการเลือกตั้ง
- จิระ บุญพจนสุนทร กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายกิจการพรรคการเมือง (แทนนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น)
- โคทม อารียา กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน
- ร้อยตรีวิจิตร อยู่สุภาพ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง
[แก้] คณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุดที่สอง
วาระการดำรงตำแหน่ง 21 ตุลาคม พ.ศ. 2544 - 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549
- พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง
- จรัล บูรณพันธุ์ศรี กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย (เสียชีวิตแล้ว พฤศจิกายน 2548)
- พลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายกิจการพรรคการเมือง (แทนพลเอกศิรินทร์ ธูปกล่ำ) (ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อ 15 พฤษภาคม 2549)
- วีระชัย แนวบุญเนียร กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน
- ปริญญา นาคฉัตรีย์ กรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายบริหารการเลือกตั้ง
- พลตำรวจตรีเอกชัย วารุณประภา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง
[แก้] การปรับระบบการทำงาน หลังการเสียชีวิตของนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี
ภายหลังการเสียชีวิตของนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี และยังไม่มีการสรรหาบุคคลใหม่มาทดแทน กกต.ที่เหลืออยู่ 4 คน ได้แบ่งหน้าที่ใหม่ จากเดิมที่แบ่งตามลักษณะงานตามความเชี่ยวชาญของ กกต. แต่ละคน ออกเป็น 4 เขตพื้นที่ให้ กกต. แต่ละคนดูแล โดยแต่ละคนต่างก็มีอำนาจเด็ดขาดทั้งการบริหาร การเลือกตั้ง การจัดการเลือกตั้ง การสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย ในเขตพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ คือ
- วาสนา เพิ่มลาภ ดูแลภาคกลางและกรุงเทพ
- ปริญญา นาคฉัตรีย์ ดูแลภาคใต้
- วีระชัย แนวบุญเนียร ดูแลภาคเหนือ
- จารุภัทร เรืองสุวรรณ ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มบุคลากรทั้งในสำนักงาน กกต.กลาง และ กกต.จังหวัด จากเดิม 300 คน เป็น 3000 คน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร
มีการปรับโครงสร้างหน่วยงานการวินิจฉัยสืบสวนสอบสวน จากเดิมที่มีสองส่วน เพื่อการตรวจสอบและคานอำนาจ คือ
- สำนักสืบสวนสอบสวน มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน และสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้ง
- สำนักวินิจฉัย มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองพยานหลักฐานจากเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนสอบสวนสืบสวนก่อนเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่ามีมูลหรือไม่ หากหลักฐานไม่เพียงพอ ก็ส่งเรื่องให้เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือรองเลขาธิการที่ได้รับมอบหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติม แล้วจึงส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยเป็นผู้พิจารณาก่อนส่งความเห็นในเรื่องนั้นต่อให้ กกต.กลาง วินิจฉัยชี้ขาดขั้นสุดท้าย แต่ในกรณีที่มีความเร่งด่วน ก็อาจส่งเรื่องให้ กกต.กลางวินิจฉัยได้
การจัดโครงสร้างเดิม คล้ายกับการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรม ที่มีสำนักสืบสวนสอบสวนทำหน้าที่คล้ายตำรวจ สำนักวินิจฉัยทำหน้าที่คล้ายอัยการ คณะอนุกรรมการวินิจฉัยทำหน้าที่คล้ายเป็นศาลชั้นต้น และ กกต.กลางทำหน้าที่คล้ายกับเป็นศาลสูงสุด
แต่หลังจากที่ กกต. ชุดที่สองเข้ามาดำเนินการไม่นานก็มีการปรับใหหน่วยงานทั้งสอง มารวมเป็นสำนักเดียวกันคือ สำนักสืบสวนและวินิจฉัย แต่แบ่งพื้นที่การทำงานเป็นภาค ไม่ได้แบ่งเนื้อหาสาระของการทำงาน มีลักาณะการทำงานคล้ายตำรวจภูธรภาค ไม่มีอัยการ(สำนักวินิจฉัย)
[แก้] กรณีคำพิพากษาของศาล
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ศาลอาญาได้ตัดสินตามคำฟ้องของโจทย์คือ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในข้อหาการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบของ กกต โดยการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคไทยรักไทย ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มีโทษตามมาตรา 42 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน (ไม่ได้ลงโทตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา)ศาลได้มีคำตัดสินว่าให้คณะกรรมการสามคนได้แก่ พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ, ปริญญา นาคฉัตรีย์และ วีระชัย แนวบุญเนียร ต้องคำพิพากษาศาลอาญา ให้จำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง กกต. เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ
[แก้] คณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุดที่สาม
วาระการดำรงตำแหน่ง 20 กันยายน พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน
- นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง รับผิดชอบด้านบริหารกลาง
- นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง รับผิดชอบงานด้านการบริหารการเลือกตั้ง
- นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง รับผิดชอบด้านการสืบสวนสอบสวน
- นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง รับผิดชอบด้านกิจการพรรคการเมือง
- นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง รับผิดชอบด้านการมีส่วนร่วม
[แก้] การสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2549
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา 3 คน ประธานแผนกคดีต่างๆ ในศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จำนวน 84 คน ได้ลงมติเพื่อสรรหาผู้สมควรเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งจำนวน 10 คน [2] ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (2) และ (3) จากจำนวนผู้สมัคร 42 คน เพื่อให้ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติคัดเลือกเหลือ 5 คน
คณะกรรมการเลือกตั้งชุดนี้จะปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลา 2 ปี ตามวาระที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการเลือกตั้งชุดที่สอง
รายชื่อผู้สมควรเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง 5 คน ตามมาตรา 138 (2)
- นายวิชา มหาคุณ - ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา
- นายอุดม เฟื่องฟุ้ง - ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญา กรุงเทพใต้
- นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ - ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา
- นายสมชัย จึงประเสริฐ - ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
- นายอภิชาต สุขัคคานนท์ - ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
รายชื่อผู้สมควรเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง 5 คน ตามมาตรา 138 (3) (ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ทำหน้าที่คัดเลือกแทน คณะกรรมการสรรหาจากตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีอยู่ในขณะนี้)
- นายประพันธ์ นัยโกวิท - รองอัยการสูงสุด
- นายแก้วสรร อติโพธิ - อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร
- นายสุเมธ อุปนิสากร - ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญา กรุงเทพใต้
- นางสดศรี สัตยธรรม - ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
- นายนาม ยิ้มแย้ม - อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติคัดเลือกคณะกรรมการเลือกตั้ง ประกอบด้วย
- นายประพันธ์ นัยโกวิท
- นายสุเมธ อุปนิสากร
- นายอภิชาต สุขัคคานนท์
- นายสมชัย จึงประเสริฐ
- นางสดศรี สัตยธรรม
[แก้] อ้างอิง
- ↑ http://www.ect.go.th/thai/ect/monument/default.htm
- ↑ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000102221