รสวรรณคดี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รสในวรรณคดี หมายถึง
![]() |
[แก้] รสในวรรณคดีสันสกฤต
รสวรรณคดีสันสกฤต มีปรากฏใน ตำรานาฏยศาสตร์ (นาฏยเวท) ของพระภรตมุนี ซึ่งกล่าวถึงคุณสมบัติของตัวละครสันสกฤตที่ดีกว่า ต้องประกอบด้วยรส 9 รส คือ ศฤงคารรส หาสยรส กรุณารส รุทรรส วีรรส ภยานกรส พีภัตสรส อัพภูตรสและศานติรส โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ศฤงคารรส (รสแห่งความรัก) เป็นการพรรณวามรักระหว่างหนุ่มสาวระหว่างสามี ภรรยา ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย บิดามารดากับบุตร ญาติกับญาติ ฯลฯ สามารถทำให้ผู้อ่าน พอใจรัก เห็นคุณค่าของความรักนึกอยากรักกับเขาบ้างเช่น รักฉันชู้สาว รักหมู่คณะ รักประเทศชาติ เป็นต้น อย่างเช่น เรื่องลิลิตพระลอ เต็มไปด้วยรสรัก(บาลี เรียกรสนี้ว่า รติรส)
- หาสยรส (รสแห่งความขบขัน)เป็นการพรรณนาที่ทำให้เกิดความร่าเริง สดชื่น เสนาะ ขบขัน อาจทำให้ผู้อ่าน ผู้ดูยิ้มกับหนังสือ ยิ้มกับภาพที่เห็น ถึงกับลืมทุกข์ดับกลุ้มไปชั่วขณะ เช่น เรื่องระเด่นลันได เป็นต้น (บาลีเรียกรสนี้ว่า หาสะรส)
- กรุณารส (รสแห่งความเมตตากรุณาที่เกิดภายหลังความเศร้าโศก) เป็นบทพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านหดหู่เหี่่ยวแห้ง เกิดความเห็นใจถึงกับน้ำตาไหล พลอยเป็นทุกข์ เอาใจช่วยตัวละคร เช่น เห็นใจนางสีดา เห็นใจจรกา และเห็นใจนางวันทอง เป็นต้น(บาลีเรียกรสนี้ว่า โสกะรส)
- รุทรรส/เราทรรส (รสแห่งความโกรธเคือง) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้ดูผู้อ่านขัดใจฉุนเฉียว ขัดเคืองบุคคลบางคนในเรื่อง บางทีถึงกับขว้างหนังสือทิ้ง หรือฉีกตอนนั้นก็มี เช่น โกรธขุนช้าง โกรธชูชก(บาลีเรียกรสนี้ว่า โกธะ)
- วีรรส (รสแห่งความกล้าหาญ) บทบรรยายหรือพรรณาที่ทำให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟังพอใจผลงานและหน้าที่ ไม่ดูหมิ่นงาน อยากเป็นใหญ่ อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียง เลียนแบบสมเด็จพระนเรศวร ชอบความมีขัตติมานะของพระมหาอุปราชา จากเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย (บาลีเรียกรสนี้ว่า อุตสาหะรส)
- ภยานกรส (รสแห่งความกลัว ตื่นเต้นตกใจ) บทบรรยายหรือพรรณาที่ทำให้ผู้อ่านผู้ฟัง ผู้ดู มองเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยในบาปกรรมทุจริต เกิดความสะดุ้ง กลัวโรคภัยสัตว์ร้าย ภูตผีปีศาจ บางครั้งต้องหยุดอ่าน รู้สึกขนลุกซู่ อ่านเรื่อง ผีต่างๆ (บาลีเรียกรสนี้ว่า อุตสาหะรส)
- พีภัตสรส (รสแห่งความชัง ความรังเกียจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านผู้ดู ผู้ฟังชังน้ำหน้าตัวละครบ้างตัว เพราะจิต(ของตัวละคร) บ้าง เพราะความโหดร้ายของตัวละครบ้างเช่น เกลียดนางผีเสื้อสมุทร ในเรื่องพระอภัยมณีที่ฆ่าพ่อเงือก เป็นต้น (บาลีเรียกรสนี้ว่า ชิคุจฉะรส)
- อัพภูตรส (รสแห่งความพิศวงประหลาดใจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้นึกแปลกใจ เอะใจ อย่างหนัก ตื่นเต้นนึกไม่ถึงว่าเป็นไปได้เช่นนั้น หรือ อัศจรรย์คาดไม่ถึงในความสามารถ ในความคมคายของคารม ในอุบายหรือในศิลปวิทยาคุณแปลกใจในสุปฏิบัติ (ความประพฤติที่ดีงาม)แห่งขันติ เมตตา กตัญญู อันยากยิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ (รสนี้บาลีเรียก วิมหะยะรส)
- ศานติรส(รสแห่งความสงบ) อันเป็นอุดมคติของเรื่อง เช่น ความสงบสุขในแดนสุขาวดี ในเรื่อง วาสิฏฐี อันเป็นผลมุ่งหมายทางโลกและทางธรรม เป็นผลให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง เกิดความสุขสงบ ในขณะได้เห็นได้ฟัง ตอนนั้น ด้วย (บาลีเรียกรสนี้ว่า สมะรส)
[แก้] รสแห่งกาพย์กลอนไทย
รสแห่งกาพย์กลอนไทยมี 4 รส
1. เสาวรจนี (บทชมโฉม) คือการเล่าชมความงามของตัวละครในเรื่อง ซึ่งอาจเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ซึ่งการชมนี้อาจจะเป็นการชมความเก่งกล้าของกษัตริย์ ความงามของปราสาทราชวังหรือความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง เช่น บทชมโฉมนางมัทมา โดยท้าวชัยเสนรำพันไว้ ในวรรคดีเรื่องมัทนะพาธา
- เสียงเจ้าสิเพรากว่า
ดุริยางคะดีดใน
- ฟากฟ้าสุราลัย
สุรศัพทะเริงรมย์
- ยามเดินบนเขินขัด
กละนัจจะน่าชม
- กรายกรก็เร้ารม
ยะประหนึ่งระบำสรวย
- ยามนั่งก็นั่งเรียบ
และระเบียบเขินขวย
- แขนอ่อนฤเปรียบด้วย
ธนุก่งกระชับไว้
- พิศโฉมและฟังเสียง
ละก็เพียงจะขาดใจ ... (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
บทชมนางเงือก ซึ่งติดตามพ่อแม่มาเพื่อพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร จากเรื่อง พระอภัยมณี
- บทกษัตริย์ทัศนานางเงือกน้อย
ดูแช่มช้อยโฉมลาทั้งเผ้าผม
- ประไพพักตร์ลักษณ์ล้ำล้วนขำคม
ทั้งเนื้อนมนวลเปลปงออกเต่งทรวง
- ขนงเนตรเกศกรอ่อนสะอาด
ดังสุรางค์นางนาฏในวังหลวง
- พระเพลินพิศคิดหมายเสียดายดวง
แล้วหนักหน่วงนึกที่จะหนีไป (พระสุนทรโวหาร(ภู่))
- เหลือบเห็นกวางขำดำขลับ
งามสรรพสะพรั่งดังเลขา
- งามเขาเห็นเป็นกิ่งกาญจนา
งามตานิลรัตน์รูจี
- คอก่งเป็นวงราววาด
รูปสะอากราวนางสำอางศรี
- เหลียวหน้ามาดูภูมี
งามดังนารีชำเลืองอาย
- ยามวิ่งลิ่วล้ำดังลมส่ง
ตัดตรงทุ่งพลันผันผาย (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
2. นารีปราโมทย์ (บทเกี้ยว โอ้โลม) คือการกล่าวข้อความแสดงความรัก ทั้งที่เป็นการพบกันในระยะแรกๆ และในโอ้โลมปฏิโลมก่อนจะถึงบทสังวาสนั้นด้วย
- ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
- แม้นเกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
- แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
- แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง
- เจ้าเป็นถ้ำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่ครอง
- จะติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป (พระสุนทรโวหาร(ภู่))
3. พิโรธวาทัง(บทตัดพ้อ) คือการกล่าวข้อความแสดงอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งแต่น้อยไปจนมาก จึงเริ่มตั้งแต่ ไม่พอใจ โกรธ ตัดพ้อ ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เสียดสี และด่าว่าอย่างรุนแรง
- น้ำใจนางเหมือนน้ำค้างบนไพรพฤกษ์
เมื่อยามดึกดังจะรองเข้าดื่มได้
- ครั้งรุ่งแสงสุรีย์ฉายก็หายไป
เพิ่งเห็นใจเสียเมื่อใจจะขาดรอน (ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
- ครั้งนี้เสียรักก็ได้รู้
ถึงเสียรู้ก็ได้เชาวน์ที่เฉาฉงน
- เป็นชายหมิ่นชายต้องอายคน
จำจนจำจากอาลัยลาน (เจ้าพระยาพระคลัง(หน))
บทตัดพ้อที่แสดงทั้งอารมณ์รักและแค้นของ อังคาร กัลยาณพงศ์ จากบทกวี เสียเจ้า
- จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
- จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ (อังคาร กัลยาณพงศ์)
บทตัดพ้อที่แทรกอารมณ์ขันของ สุจิตต์ วงษ์เทศ จากบทกวี ปากกับใจ
- เมื่อรักกันไม่ได้ก็ไม่รัก
ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหน
- ไม่รักเราเราจักไม่รักใคร
เอ๊ะน้ำตาเราไหลทำไมฤา (สุจิตต์ วงษ์เทศ)
4. สัลลาปังคพิไสย(บทโศก) คือการกล่าวข้อความแสดงอารมณ์โศกเศร้า อาลัยรัก บทโศกของนางวันทอง ซึ่งคร่ำครวญอาลัยรักต้นไม่ในบางขุนช้าง อันแสดงให้เห็นว่านางไม่ต้องการตามขุนแผนไป แต่ที่ต้องไปเพราะขุนแผนร่ายมนต์สะกด ก่อนลานางได้ร่ำลาต้นไม้ก่อนจากไป จากเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนพานางวันทองหนี
- ลำดวนเอยจะด่วนไปก่อนแล้ว
- จะโรยร้างห่างกลิ่นมาลี
จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ (พระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย)
สุนทรภู่คร่ำครวญถึงรัชกาลที่2ซึ่งสวรรคตแล้ว เป็นเหตุให้สุนทรภู่ต้องตกระกำลำบาก เพราะไม่เป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่3 ต้องระ เห็ดเตร็ดเตร่ไปอาศัยในที่ต่างๆขณะล่องเรือผ่านพระราชวัง สุนทรภู่ซึ่งรำลึกความหลังก็คร่ำครวญอาลัยถึงอดีตที่เคยรุ่งเรืองจากนิราศภูเขาทอง
- เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตรลบ
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
- สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ (พระสุนทรโวหาร(ภู่))
![]() |
รสวรรณคดี เป็นบทความเกี่ยวกับ วรรณคดี วรรณกรรม หรือหนังสือ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น |