พิกุลทอง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เรื่องนางพิกุลทองนี้ เป็นบทละครนอกหนึ่งใน ๑๔ เรื่อง ที่นิยมนำมาเล่นกันมากเรื่องหนึ่งตั้งแต่ครั้ง สมัยกรุงศรีอยุธยาปัจจุบันยังพบว่ามีต้นฉบับหนังสือตัวเขียนที่เหลือรอดจากการถูกพม่าทำลายคราวเสียกรุง เก็บรักษาไว้อยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ เป็นสมุดข่อยสีขาว ตัวหมึกดำ ลายมือกึ่งบรรจงแกมหวัด ตัวอักษรไม่สม่ำเสมอ และมีบันทึกว่า " หมู่ กลอนบทละคร ชื่อ พิกุลทอง เล่ม 1 (สำนวนเก่า) เลขที่ ๒๐ ตู้ที่ ๑๑๔ ชั้น ๒/๑ มัด ๓๙ ประวัติ สมบัติเดิมของหอพระสมุดวชิรญาณ" ซึ่งมีเนื้อความเริ่มตั้งแต่นางพิกุลทองสรงน้ำ จนจบตอนท้ายคือปราบนางยักษ์กาขาว และยังไม่ได้รับตรวจสอบชำระฉบับที่เหลืออื่น ๆ หรือตีพิมพ์จากกรมศิลปากร ส่วนเรื่องนางพิกุลทองต่อจากสำนวนเดิมที่เป็นการผจญภัยยืดยาวถึงรุ่นลูกนั้น มาจากกลอนอ่านสำนวนของนายบุศย์ รจนา จัดพิมพ์โดยโรงพิมพ์วัดเกาะราวปีพ.ศ.๒๔๓๓ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งนายบุศย์ผู้นี้ได้นำนิทานไทยครั้งกรุงเก่ามาแต่งสำนวนใหม่เป็นกลอนอ่านและกลอนสวดอยู่หลายเรื่อง เช่น แก้วหน้าม้า,จันทะโครพ,สุพรรณหงส์ยนต์เป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อสังเกตตามเนื้อเรื่อง สำนวนกลอนค่อนข้างจะรวบรัด และไม่สละสลวยเท่าใดนัก เพราะผู้แต่งคงมีจุดประสงค์เพียงไว้สำหรับเล่นละครเท่านั้น แม้การบอกเพลงหน้าพาทย์ก็ไม่ชัดเจนแน่นอน มีตอนที่กล่าวถึงพระสังข์ศิลป์ชัย และนางศรีสุพรรณซึ่งเป็นตัวละครจากบทละครนอกเรื่องสังข์ศิลป์ชัย พร้อมทั้งมีของวิเศษที่เหมือนกันทุกประการ อันได้แก่"สังข์ ศร และพระขรรค์" จึงสัณนิษฐานว่า ผู้แต่งคงมีจุดประสงค์ดำเนินเรื่องให้เป็นภาคต่อจากเรื่องสังข์ศิลป์ชัยเพราะเรื่องสังข์ศิลป์ชัยก็ไม่ได้กล่าวถึงการผจญภัยในรุ่นลูกไว้เลย
สารบัญ |
[แก้] สาระสำคัญในเรื่อง
ในเรื่องนางพิกุลทอง ได้แสดงให้เห็นเกี่ยวกับประเพณีความเชื่อหลายประการเช่น ที่มาของเรื่องลัก-ยมอันมาจากชื่อของโอรสนางพิกุลทอง ซึ่งในปัจจุบันเราจะรู้จักว่าเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง,ที่มาของสุภาษิตคำพังเพย คือกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก หมายถึงคนที่ไม่ค่อยพูด หรือใครถามอะไรหรือสนทนาด้วยแล้วไม่อยากจะตอบหรือพุดคุย , เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับลูกกรอกและ เหตุที่ชะนีร้องเรียกว่า "ผัว ๆ" ในส่วนอื่นก็สอนให้เห็นถึงการมีปิยวาจาคือการกล่าววาจาไพเราะและความซื่อสัตย์ จะทำให้เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั้งหลาย และนำพาไปสู่ความเจริญ และเรื่องเกี่ยวกับความเชื่ออื่น ๆ เช่นแม่ย่านางเป็นต้น
[แก้] ต้นเรื่อง
นิทานเรื่องนางพิกุลทอง ตามบทกลอนของนายบุษย์จะจับความตั้งแต่นางพิกุลทองเข้ามาเป็นธิดาบุญธรรมของท้าวสัณนุราชจนจบเรื่อง (ส่วนบทละครนอกที่ปรากฏในสมุดไทยนั้นจับเรื่องตั้งแต่นางพิกุลทองสรงน้ำ จนจบเรื่องตอนปราบนางยักษ์กาขาว) เพื่อความสมบูรณ์จึงได้นำนิทานตอนต้นเรื่อง ซึ่งสัณนิษฐานว่ามีคนเคยได้อ่านบทละครนอกเรื่องนี้ที่เป็นฉบับสมบูรณ์ ก่อนที่จะเกิดความเสียหายจากสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ แล้วเล่ากันมาแบบมุขปาฐะมาประกอบดังนี้...มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองพาราณสี มีบ้านแม่หม้ายคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวอยู่ 2 คน คนน้องชื่อว่าพิกุล มีรูปร่างหน้าตาสวยกว่าคนพี่ที่ชื่อนางมะลิ จึงถูกรังแกและถูกพี่สาวใส่ความกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ทำให้มารดาเข้าใจว่าพิกุลเป็นเด็กเหลือขอ จึงถูกตีและใช้ให้ทำงานหนักอยู่บ่อย ๆ อยู่มาวันหนึ่ง นางพิกุลถูกใช้ให้นำหม้อน้ำไปตักน้ำที่ลำธาร ระหว่างทางก็ผ่านต้นไทรใหญ่มีหญิงชรานั่งพักอยู่ด้วยความเหนื่อย เมื่อเห็นนางพิกุลถือหม้อน้ำเดินผ่านมาหญิงชราจึงเอ่ยปากขอน้ำดื่ม นางพิกุลก็ให้ด้วยความเต็มใจและกล่าวเจรจาด้วยวาจาที่ไพเราะอ่อนหวาน หญิงชราจึงแสดงตนว่านางคือเทพธิดานางไม้ที่รักษาต้นไทรนี้ และให้พรแก่พิกุลว่า เมื่อใดที่นางพิกุลกล่าววาจาอ่อนหวานไพเราะ หรือร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก จะมีดอกพิกุลทองร่วงหล่นออกมาจากปากคำละ ๑ ดอกเสมอ เมื่อนางพิกุลกลับมาถึงบ้าน ก็ถูกมารดาทุบตีว่าไปเถลไถล นางร้องไห้พลางกล่าวขอโทษ ดอกพิกุลทองก็ร่วงหล่นออกมาจากปากมากมาย ฝ่ายผู้เป็นแม่เห็นดังนั้นจึงเค้นถามความจริงจากนาง พิกุลจึงเล่าเรื่องที่ได้พบมาให้ฟัง ด้วยความโลภละโมบมากจึงบังคับให้นางพิกุลพูดไปจนเหนื่อยหมดเสียงไม่มีดอกพิกุลจะร่วงมาอีก หยิงหม้ายจึงใช้ให้นางมะลิผู้พี่ทำตามอย่างนางพิกุลบ้าง จะได้พูดออกมาเป็นมะลิทอง นางมะลิฟังคำแม่แล้วจึงแบกหม้อไปตักน้ำในลำธารด้วยความไม่เต็มใจเพราะไม่เคยได้ทำงานหนักเหมือนน้อง พอผ่านต้นไทรดังกล่าวก็พบหญิงสาวโสภานั่งอยู่และขอน้ำดื่ม นางมะลิก็กล่าวว่าด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ นา ๆ หาว่าไม่มีปัญญาไปติกกินเอาเอง แท้จริงหญิงสาวนั้นคือนางไม้องค์เดิม นางจึงสาปมะลิว่า วาจาของนางดุจยาพิษไม่ว่าจะพูดอะไรขอให้สัตว์เดียรัจฉานมีพิษหล่นออกมาจากปากของนางเสมอ นางมะลิตกใจทิ้งหม้อน้ำแล้วรีบกลับบ้านเล่าเรื่องให้แม่ฟัง ก็ปรากฏว่ามีคางคก ตะขาบ ตุ๊กแก แมงป่อง กิ้งกือ หล่นออกมาคลานยั้วเยี้ยไปหมด หญิงหม้ายเห็นดังนั้นจึงไปตบตีนางพิกุลว่าเล่าเรื่องโกหกจนทำให้พี่สาวตนเป็นอย่างนี้ แล้วไล่ออกจากบ้านกล่าวว่าเป็นเสนียดจัญไรห้ามใครคบค้าสมาคมด้วย ฝ่ายนางพิกุลก็เดินซัดเซพเนจรไปในป่าจนล่วงเข้าเขตเมืองสรรพบุรี ขณะนั้นท้าวสัณนุราชกับพระมเหสี ซึ่งไม่มีโอรสธิดาได้เสด็จออกประพาสป่าพบนางพิกุลนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และมีดอกพิกุลทองร่วงออกจากปากเป็นอัศจรรย์ ครั้นทรงถามที่มาของนางแล้วจึงได้นำกลับไปที่วังแล้วตั้งเป็นธิดาบุญธรรมชื่อว่านางพิกุลทองนางพิกุลทองอยู่ในวังจนย่างเข้าวัยรุ่นสาว ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือว่ายากจะหาหญิงใดเสมอเหมือนได้ ซึ่งนอกจากเวลาพูดกับใครจะมีดอกพิกุลทองร่วงจากปากแล้วยังมีเส้นผมที่หอมอีกด้วย กิตติศัพท์ความงามของนางได้ยินไปถึงหูของท้าวปักษีซึ่งเป็นพญาแร้งอยู่ที่เมืองปักษีใกล้เชิงเขาเนินทะกา จึงได้แปลงกายเป็นแร้งบินมายังเมืองสรรพบุรีเพื่อชมความงามของนาง
[แก้] ศึกพญาแร้ง
วันหนึ่งนางพิกุลทองเกิดร้อนรุ่มกลุ้มอุรา จึงได้ลาท้าวสัณนุราชไปเล่นน้ำกับพระพี่เลี้ยงในลำธาร ท้าวสัณนุราชจึงให้วางตาข่ายและทุ่นไว้รอบท่าน้ำ เพราะโหรทำนายว่านางจะต้องพลัดพรากจากเมือง ขณะนั้นพญาแร้งก็บินมาเห็นซากสุนัขเน่าจึงโฉบนำกลับไปจิกกินลอยมาใกล้บริเวณที่นางพิกุลทองกับพี่เลี้ยงเล่นน้ำอยู่ นางพิกุลทองได้กลิ่นเหม็นเน่าจึงใช้ให้พี่เลี้ยงไปดูก็พบพญาแร้งกำลังกินซากนั้นอยู่จึงได้พากันด่าว่าแล้วขับไล่ด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ นา ๆ ฝ่ายท้าวปักษีก็โกรธจัดกล่าวว่า สุขัขเน่านี้คืออาหารของตนอยู่แล้ว นางพิกุลทองเป็นลูกเจ้าท้าวพระยาไม่น่ามากล่าวเจรจาด่าว่าขับไล่ตนเช่นนี้ว่าแล้วก็บินหนีไป แต่ท้าวปักษีก็ยังคิดจะแก้แค้นนางพิกุลทองให้ได้จึงออกอุบายแปลงกายเปนหนุ่มรูปงามไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนขวัญของเมืองพาราณสี แล้วคอยเนรมิตทองคำให้ตายายใช้จนร่ำรวย โดยบอกว่าตนไปพบตอนขุดเผือกมัน อยู่มาวันหนึ่งจึงรบเร้าขอให้ตายายเข้าไปสู่ขอนางพิกุลทองมาเป็นภรรยา สองตายายฟังแล้วหัวใจแทบวายกล่าวว่าคิดเกินตัวอย่างนี้จะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร ท้าวปักษีแปลงจึงแสร้งทำเป็นตรอมใจใกล้ตาย สองตายายจึงจำใจเข้าไปทูลสู่ขอนางพิกุลทองจากท้าวสัณนุราช ๆ ได้ทราบความดังกล่าวก็กริ้วจัด กล่าวว่าถ้าคิดว่าหลานชายมีบุญวาสนาจะได้คู่กับนางจริงใกล้สร้างสะพานเงินสะพานทองจากท้ายสวนมาถึงพระราชวังก่อนรุ่งเช้า มิเช่นนั้นจะประหารทั้งโคตร ตายายหลังจากลับมาถึงบ้านแล้วก็นั่งซึม เอาแต่ร้องไห้แล้วต่อว่าท้าวปักษีที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน ครั้นท้าวปักษีได้ทราบเรื่องต้องสร้างสะพานทองแล้วจึงกล่าวปลอบใจว่าถ้าตนทำไม่เสร็จจะยอมตายแทน สองตายายจึงค่อยโล่งใจบ้าง พอตกค่ำท้าวปักษีก็บอกว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอกจากนั้นก็แปลงเป็นพญาแร้งขนาดมหึมาบินกลับไปยังเขาเนินทะกา แล้วเกณฑ์พลนกทั้งหลายให้มาช่วยสร้างสะพานจนแล้วเสร็จ ครั้นรุ่งเช้า ท้าวสัณนุราชกับพระมเหสีมองออกไปเห็นสะพานเงินสะพานทองเป็นอัศจรรย์ เสร็จตามข้อตกลงดังกล่าวจึงคิดว่ามาณพผู้นี้มีบุญ แล้วจัดอภิเษกสมรสนางพิกุลทองให้กับท้าวปักษีและนางพิกุลทอง ซึ่งตลอดเวลาเมื่ออยู่ใกล้กันนางพิกุลทองก็ได้ได้กลิ่นสาบแร้งจนเวียนหัวบ่นว่าต่าง ๆ นานา ส่วนท้าวปักษีก็มิอาจจะเข้าใกล้ได้เพราะตัวนางร้อนเป็นไฟ ครั้นอยู่มาได้ ๓ วัน ท้าวปักษีจึงออกอุบายว่าจะชวนนางกลับไปกราบบิดามารดาของตน จากนั้นก็พากันลงเรือสำเภา ๕๐๐ ลำล่องไปได้ ๓ เดือน ก็มาถึงเมืองปักษี ท้าวปักษีจึงให้นางรออยู่ในเรือเพื่อจะขึ้นไปแจ้งให้บิดามารดาตนทราบก่อน แท้ที่จริงท้าวปักษีกลับไปเกณฑ์บริเวณนกแร้งทั้งหลายให้มากินคนบนเรือเสียให้หายแค้น ส่วนนางพิกุลทองนั้นตนจะจัดการกินเองห้ามนกตัวไหนแตะต้องต้องมีโทษถึงตาย ฝูงนกก็ดีใจพากันบินมาจับไพร่พลบนเรือกินเสียหมดทั้ง ๕๐๐ ลำ ส่วนนางพิกุลทองนั้นได้รับความช่วยเหลือจากแม่ย่านางวิญญาณประจำเรือ รู้ว่าพญาแร้งคิดไม่ซื่อ จึงเนรมิตรห้องคูหาแล้วนำนางพิกุลทองไปซ่อนไว้ในปลายเสากระโดงเรือ พญาแร้งโกรธมากด่าว่าลูกน้องไม่เชื่อฟังหาว่ากินไม่ดูตามาตาเรือดันไปกินเอานางพิกุลทองไปด้วยแล้วก็พากันบินกลับไป แต่กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่านางตายจริง ก็จึงให้บริวารบางส่วนคอยเฝ้าดูเรือไว้ ฝ่ายแม่ย่านางครั้นเห็นพญาแร้งกับบริวารบินกลับไปหมดแล้ว จึงได้พานางพิกุลทองออกมาจากที่ซ่อนเพื่อสรงน้ำ นางจึงเสี่ยงทายเสยเอาเส้นผม และดอกพิกุลทองใส่ผอบพร้อมจารึกชื่อและเรื่องราวลงไปด้วยเพื่อหาผู้มีบุญมาช่วยเหลือ ผอบทองลอยไปจนถึงเมืองปัญจาล์ซึ่งมีพระสังข์ศิลป์ชัยและนางศรีสุพรรณปกครอง มีโอรสเก่งกล้าองค์หนึ่งชื่อพระพิชัยมงกุฏ(ในฉบับตัวเขียนว่าชื่อ "ไชยวงศ์กุฏ") ขณะนั้นทั้งสามกษัตริย์ได้มาสรงน้ำที่ท่าน้ำนอกเมือง เห็นผอบทองลอยทวนน้ำมา พระพิชัยมงกุฏจึงเสี่ยงพระสังข์วิเศษไปกล่าวว่าถ้ามาดีให้ช้อนขึ้นมา ถ้ามาร้ายให้สังข์วิเศษทำลายเสีย ปรากฏว่าสังข์ก็ไปช้อนผอบขึ้นมา เมื่อเปิดข้อความดูเห็นเส้นผม,ดอกพิกุล และจารึกเรื่องราวก็ถึงกับหลงใหลกินไม่ได้นอนไม่หลับ พระสังข์ศิลป์ชัยได้ทราบอาการก็ตกพระทัย พระพิชัยมงกุฏจึงขอลาไปตามนางพิกุลทอง จึงโปรดให้ธนูวิเศษไปป้องกันตัว และให้จัดแต่งเรือสำเภาพร้อมไพร่พลไปตามประสงค์ กองเรือแล่นมาหลายวันจนกระทั่งถึงเกาะใหญ่กลางทะเลซึ่งเป็นเขตของ นางยักษ์กาขาว ซึ่งลอบเข้ามาในเรือด้วยความสงสัย ครั้นเห็นพระพิชัยมงกุฏรูปร่างสง่างามก็หลงรักจึงแอบอุ้มพาไปขณะหลับ แล้วเนรมิตเมืองขึ้นบนเกาะแล้วแปลงเป็นหญิงสาวอยู่ในเมืองนั้น ครั้นพระพิชัยมงกุฏตื่นมาเห็นบ้านเมืองกับหญิงงามก็เข้าใจว่าเป็นนางพิกุลทอง จึงเกี้ยวนางจนได้เป็นภรรยา แต่ยังสงสัยว่าได้กลิ่นสาบสางยักษ์และนางผมไม่หอม ตกดึกเทพารักษ์จึงได้มาบอกให้รีบหนีไปเพราะนางเป็นยักษ์แปลงมาแล้วบอกทางให้แล่นเรือไปทางตะวันออก ๗ วันก็จะถึงหาดหน้าเมืองปักษี ครั้นพระพิชัยมงกุฏเดินทางมาถึงหาดหน้าเมืองปักษี เห็นกองเรือร้างจอดอยู่จึงให้ไปค้นเรือทุกลำก็พบแต่กระดูก ฝ่ายนางพิกุลทองได้ยินเสียงจึงลาแม่ยานางออกมาจากเสากระโดงเรือและเข้าพบกับพระพิชัยมงกุฏด้วยความยินดี
(โอด) เมื่อนั้น | พระไชยวงศ์กุฏเห็นนางเร่งหรรษา |
เห็นนางทรงโศกโศกา | หอมเส้นเกศาตระลบไป |
พิกุลทองตกลงจากโอษฐ์ | ให้ทรงโปรดพิศวงหลงใหล |
ยอกรฟักฟูมเข้าอุ้มไว้ | ฟังพี่อย่าได้โศกา |
พี่ได้ผอบมาติดตาม | ประสบสมดังความปรารถนา |
ขอเชิญนงเยาเล่ากิจจา | แรกเริ่มเดิมมาประการใด |
ขณะนั้นบริวารของพญาแร้งเห็นผู้คนมาเอะอะวุ่นวายจึงรีบบินไปบอกแก่ท้าวปักษี กล่าวว่าชะรอยนางพิกุลทองจะยังไม่ตาย ท้าวปักษีจึงรีบพาบริวารมาทันที ครั้นเห็นนางพิกุลทองหลบอยู่กับพระพิชัยมงกุฏก็เจรจาตอบโต้อยู่พักหนึ่งแล้วทำการรบกัน พระพิชัยมงกุฏจึงแผลงศรวิเศษไปถูกอกท้าวปักษีตายกลางอากาศพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ครั้นเสร็จศึกแล้ว จึงพานางพิกุลทองกลับไปยังบ้านเมืองของตนต่อไป ฝ่ายนางยักษิณีกาขาวครั้นตื่นมาไม่เห็นพระพิชัยมงกุฏ จึงคว้ากระบองออกไล่ติดตาม
[แก้] กำเนิดลัก-ยม
หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว ต่อมานางพิกุลทองก็ประสูติพระโอรส ๒ พระองค์ คนพี่มีนามว่า พระลักษณา ส่วนโอรสองค์รองนามว่า พระยมยศ อยู่มาวันหนึ่งทั้งสี่กษัตริย์ก็เสด็จประพาสที่บึงบัวเพื่อเก็บบัวมาบูชาพระปฏิมา ฝ่ายนางยักษ์กาขาวครั้นรู้ว่าพระพิชัยมงกุฏได้อภิเษกกับนางพิกุลทองแล้ว ก็ให้เคียดแค้นเป็นยิ่งนักหมายจะทำร้ายนางพิกุลทองเสียให้หายแค้น จึงแปลงร่างเป็นดอกบัวทองอยู่ใต้น้ำ ครั้นเรือผ่านมานางพิกุลทองเห็นเข้าก็ประหลาดใจในความงามจึงเอื้อมมือลงไปเด็ด นางยักษ์ได้ทีจึงฉุดนางลงไปใต้น้ำแล้วสาปให้กลายร่างเป็นนางชะนี ส่วนนางยักษ์ก็จดจำและแปลงร่างเป็นนางพิกุลทองแทน ครั้นพระพิชัยมงกุฏช่วยฉุดขึ้นมาครั้งแรกเป็นนางยักษ์แปลงนางยักษ์ก็รีบเป่ามนต์ให้หลงใหล พระลักษณาและพระยมยศก็ร้องไห้บอกว่าไม่ใช่แม่ของตน แต่เมื่อเห็นนางชะนีผุดขึ้นมาจากน้ำกลับร้องว่าเป็นแม่ และไม่ยอมกลับวัง พระพิชัยมงกุฏจึงกริ้วขับไล่ให้ไปอยู่กับนางชะนีในป่า แล้วพระองค์ก็พานางยักษ์กลับเข้าวัง สองพี่น้องร้องไห้หาแม่จนหิวแต่นางชะนีก็กำลังคลุ้มคลั่งด้วยมนต์ของนางยักษ์คอยแต่จะหนีเข้าป่าท่าเดียว
(เพลง) เมื่อนั้น | พระกุมารอุ้มน้องแล้วร้องไห้ |
ค่อยลอดลัดตัดเดินดำเนินไป | ถึงที่ต้นไทรพระมารดา |
จึงร้องเรียกอยู่แจ้วแจ้ว | ลูกมาถึงแล้วพระแม่ขา |
ลงมาส่งนมพระลูกยา | น้องข้าอยากนมเป็นเหลือใจ |
แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย | กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้ |
ทูลหัวนั่งนิ่งบนกิ่งไม้ | ไขหูเสียใยไม่นำพา |
ร้องเรียกมารดาขึ้นไปเล่า | แม่เจ้าประคุณลูกมาหา |
น้องยมอยากนมพ้นปัญญา | ส่งนมลูกเถิดราแม่ดวงใจ |
พอมีสติขึ้นบ้างก็เล่าเรื่องให้ลูกฟังแล้วให้เก็บดอกพิกุลทองที่หล่นออกมาเอาไปขายเพื่อซื้อข้าวกิน ครั้นนางวิเศษชาววังออกมาเห็นก็พาสองพระโอรสเข้าไปในเมืองแล้วกราบทูลให้พระสังข์ศิลป์ชัยทราบ สองพี่น้องจึงเล่าเหตุการณ์นางยักษ์แปลงให้พระอัยกาฟัง พระสังข์ศิลป์ชัยและพระมเหสีถึงกับกริ้วจัด ตรัสให้เรียกพระพิชัยมงกุฏเข้าเฝ้าแล้วสอบสวนเรื่องนางพิกุลทอง นางยักษ์แปลงก็พูดตลบแตลงวกวนไปมา พระนางศรีสุพรรณจึงกระซิบให้พระพิชัยมงกุฏดูอาการของนางยักษ์ที่ไม่มีแววตา และไม่มีดอกพิกุลทองร่วงจากปาก แล้วออกอุบายใหโอรสบอกกับนางยักษ์แปลงว่าจะออกไปคล้องช้างเผือก ครั้นพระพิชัยมงกุฏ พระลักษณา และพระยมยศเข้าไปทำจั่นจนดักได้ตัวนางชะนีพิกุลทอง เมื่อเห็นพระพิชัยมงกุฏก็ร้องเรียก "ผัว ๆ" จนถามนางชะนีได้ความว่าต้องฆ่านางยักษ์แล้วเอาเลือดมารดก็จะหายเป็นปกติ ฝ่ายนางยักษ์ซึ่งลอบเห็นเหตุการณ์รู้ว่าความแตกจึงกลับคืนร่างเดิมออกอาละวาด แต่ถูกพระพิชัยมงกุฏสังหารนางยักษ์ แล้วรองเอาเลือดมารดนางพิกุลทองจนกลับร่างเป็นมนุษย์ตามเดิม (เนื้อเรื่องตามฉบับตัวเขียนจบเท่านี้)
[แก้] นางกาสุรัตน์ล่มเรือ
ต่อมานางพิกุลทองก็ดำริที่จะกลับไปเยี่ยมท้าวสัณนุราชที่เมืองสรรพบุรี จึงล่องเรือสำเภาไปในทะเลได้ ๗ ราตรี นางยักษ์กาสุรัตน์ ซึ่งเป็นน้องของนางยักษ์กาขาว ทราบข่าวว่า พี่สาวตนถูกพระพิชัยมงกุฏฆ่าตายก็ให้แค้นใจตามมาอาละวาดจนเรือแตก จนสี่กษัตริย์พลัดพรากจากกัน โดยที่นางพิกุลทองถูกน้ำซัดไปอีกทางหนึ่ง พระสมุทรเทวา เกิดความสงสารจึงเนรมิตขอนไม้ใหญ่ให้นางเกาะมาจนกระทั่งชายหาดเมืองวิรุณจักร นางจึงถอดแหวนเสี่ยงทายว่าหากโอรสและภัสดาตายแล้วก็ให้แหวนจม ปรากฏว่าแหวนลอยขึ้นนางจึงค่อยโล่งใจขึ้นบ้าง จึงฉีกชายผ้าสไบเขียนบอกเรื่องราวผูกไว้ที่พระไทรแล้วฝากกราบพระไทรให้ช่วยบอกทางหากสามีมาพบ นางพิกุลทองเดินซัดเซพเนจรไปในป่าจนเข้ามาในเขตเมืองวิรุณจักร ซึ่งมี พญายักษ์วิรุณจักรปกครองอยู่นางก็ม่อยหลัยอยู่ในศาลาหน้าเมือง ท้าววิรุณจักรมาพบเข้าก็เกี้ยวพาราสี นางพิกุลทองก็ว่าตนมีสามีและลูกแล้ว แต่พญายักษ์กลับไม่ฟังเสียงบังคับนางขึ้นรถพาเข้าไปในวัง ท้าววิรุณจักรก็เพียรพยายามเกี้ยวพาราสีนางพิกุลทอง แต่นางไม่ยอมซ้ำกลับต่อว่าเปรียบเปรยต่าง ๆ นานา ท้าววิรุณจักรโกรธมากจึงใช้พระขรรค์ฟันนาง แต่ด้วยสัจจบารมีที่นางซื่อสัตย์ต่อสามีทำให้พระขรรค์หักเป็นสองเสี่ยง เมื่อท้าววิรุณจักรไม่สามารถทำอันตรายแก่นางได้จึงขับไล่ให้เป็นทาสรับใช้อยู่ในครัว ฝ่ายสามพ่อลูกคัร้นเรือแตกแล้ว พระพิชัยมงกุฏจึงขว้างสังข์วิเศษไปสังหารนางยักษ์กาสุรัตน์จนสิ้นชีพ แล้วเนรมิตขึ้นขี่สังข์ออกตามหานางพิกุลทอง จนพบชายผ้าสไบที่นางผูกไว้ พระไทรจึงปรากฏกายแล้วชี้ทางให้ไปทางทิศตะวันออก จึงพากันเดินไปตามทางพบอาศรมพระฤาษ๊ ๆ ก็ตรวจดวงชะตาว่าพระพิชัยมงกุฏนั้นจะได้ชายาอีก ๑ คน ส่วนนางพิกุลทองนั้นพอครบ ๑ เดือนจึงพ้นเคราะห์กรรม แล้วพระดาบสจึงสั่งสอนวิชาเหาะเหินเดินอากาศให้ พร้อมทั้งมอบแหวนเนาวรัตน์กายสิทธิ์ และพระขรรค์แก้ว ให้กับพระพิชัยมงกุฏเพื่อนำไปต่อสู้กับยักษ์ ทั้งสามก็กราบลาพระอาจารย์แล้วเดินทางต่อไปจนถึงเมืองวิรุณจักร จึงพากันแปลงกายเป็นนกขุนทองบินเข้าไปในสวนขวัญเพื่อสืบเรื่องราว
[แก้] ศึกวิรุณจักร
จะกล่าวถึงท้าววิรุณจักรมีธิดาโสภาอันเกิดแต่นางมนุษย์อยู่องค์หนึ่งชื่อว่า นางอรุณวดี อยู่มาคืนหนึ่งกลับฝันเห็นพญานาค ๗ เศียรเลื้อยเวียนรอบปราสาทแล้วเข้ารัดนาง ครั้นตื่นขึ้นจึงปรึกษานางยักษ์พี่เลี้ยง ก็ทำนายว่าสงสัยจะได้คู่ ทำเอานางร้อนรุ่มกล้มอุราจึงพากันไปลงเที่ยวชมสวนพบกับนกขุนทองสามพ่อลูกคุยกันอยู่ จึงใช้ให้พวกยักษ์จับเข้าไปเลี้ยงในวัง ครั้นตกดึก พระพิชัยมงกุฏจึงแปลงกลับเป็นคนดังเดิมแล้วลอบเข้าหานางอรุณวดีจนได้นางเป็นชายา ความแตกเมื่อนางกำนัลมาพบเข้าในตอนรุ่งเช้า จึงรีบไปทูลบอกแก่ท้าววิรุณจักร ๆ กริ้วโกรธดั่งไฟบรรลัยกัลป์ ตรัสสั่งให้โอรสองค์รองชื่อกุมภัณฑสูร ไปจับแต่ก็ถูกสองกุมารลักษณาและยมยศฆ่าตาย ท้าววิรุณจักรก็ยิ่งแค้นว่าต้องมาแพ้เด็กเมื่อวานซืน ครั้นจะสู้เองพระมเหสีก็ห้ามว่าท่าทางศัตรูจะมีฤทธิ์มากควรมีหนังสือไปบอกให้สหายคือ ท้าวกัมพลนาคที่เมืองบาดาล กับ ท้าวหัศจักรมาช่วยรบดีกว่า ครั้นทั้งสองมาถึง ท้าววิรุณจักรก็ให้แต่งทัพออกสู้รบกับพระพิชัยมงกุฏ แต่ก็ถูกพระขรรค์ฟันเสียเป็นแผลหลายแห่งก็แค้นใจจึงกลับร่างพญานาคเจ็ดเศียรใหญ่พ่นพิษหมายจะให้ตาย พระพิชัยมงกุฏจึงถอดแหวนเนาวรัตน์ที่พระดาบสให้มาขว้างออกไปเป็นพญาครุฑไล่จิกตีท้าวกัมพลนาคจนต้องซมซานหนีลงไปบาดาล ต่อมาท้าวหัสจักรออกรบก็ถูกสองกุมารฆ่าตายด้วยพระขรรค์แก้ว ฝ่ายท้าววิรุณจักรก็ถูกพระพิชัยมงกุฏยิงด้วยศรวิเศษเสียบอกตายกลางสนามรบ พวกยักษืที่เหลือก็พากันครั่นคร้ามไม่กล้าต่อกรด้วย แล้วทูลเชิญให้ขึ้นครองเมือง พระพิชัยมงกุฏจึงให้จัดการถวายพระเพลิงท้าววิรุณจักรตามราชประเพณี ฝ่ายนางพิกุลทองครั้นทราบว่าผู้ปราบท้าววิรุณจักรได้คือสวามีและพระโอรสก็ยินดี ครั้นเวลานำอาหารถวายนางก็รับอาสาเพราะยักษ์ทำอาหารมนุษย์ไม่เป็น แล้วใส่พิกุลทองลงไปในอาหารด้วย สามพ่อลูกเห็นดอกพิกุลทองก็จำได้จึงให้ไปเรียกคนครัวขึ้นมา เมื่อพบหน้ากันแล้วทั้งสี่ก็ร้องไห้กันจนสลบ ครั้นฟื้นขึ้นแล้วจึงให้นางพิกุลทองไปทรงเครื่องอย่างนางกษัตริย์ แล้วเรียกนางอรุณวดีมาทำความรู้จัก ฝ่ายนางอรุณวดีนั้นถือตนว่าเป็นลูกเจ้าท้าวกษัตริย์บวกกับความหึงหวงจึงค่อนแคะนางพิกุลทองในทำนองว่า เป็นเมียน้อยบิดาตนมาแล้วกลายเป็นคนครัว คิดจะเป็นนางกษัตริย์เสมอตนมิรู้จักเจียมตัวบ้าง
[แก้] นางพิกุลทองลุยไฟ
ฝ่ายนางพิกุลทองครั้นได้ยินดังนี้ก็ให้เจ็บใจ จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้วขอพิสูจน์ด้วยการลุยไฟแสดงความบริสุทธิ์ พระอินทร์จึงเอาน้ำอมฤตมาพรมดับไฟ ครั้นเมื่อเสร็จพิธีแล้ว พระพิชัยมุงกุฏจึงชวนมเหสีทั้ง ๒ และโอรสทั้ง ๒ กลับเมือง แต่นางอรุณวดีน้อยใจจึงเข้าไปหามารดา ๆ จึงออกอุบายให้ นางพิรากล แปลงเป็นนางพิกุลทอง แล้วสะกดอุ้มนางพิกุลทองไปใส่ตรุขังไว้โดยที่พระพิชัยมงกุฏและพระโอรสไม่ทราบ ครั้นไปถึงเมืองสรรพบุรีจึงให้แต่งหนังสือไปทูลแก่ท้าวสัณนุราช ๆ กำลังตกใจที่เห็นกองทัพยักษ์มากมายแต่ครั้นทราบว่านางพิกุลทองกับพระสวามีและโอรสมาถึงก็ดีใจ ให้เตรียมแต่งพระนครอภิเษกสมโภชเป็นการใหญ่ ฝ่ายเทวดารักษาเศวตฉัตรเห็นว่าเป็นการอัปมงคลที่จะให้ทางยักษ์ขี้ข้ามาขึ้นแท่นอภิเษก ตกดึกจึงมาเข้าฝันบอกให้พระลักษณาและพระยมยศทราบเรื่องว่านางพิกุลทองตัวจริงยังถูกขังอยู่เมืองยักษ์ ครั้นรุ่งเช้ามากราบทูลพระพิชัยมงกุฏว่านางพิกุลทองที่เห็นเป็นตัวปลอมเหมือนตอนเป็นชะนี พระพิชัยมงกุฏกลับกริ้วว่าพูดจาอัปมงคลแล้วขับไล่สองกุมารไป พระลักษณ์พระยมจึงเขียนสาสน์บอกท้าวสัณนุราชแล้วหนีออกไปในคืนนั้น ฝ่ายพระเจ้าตาครั้นตื่นมาไม่เห็นหลาน กลับเห็นสาสน์ดังกล่าวก็ทรงกริ้วตรัสให้พระพิชัยมงกุฏออกติดตามลูกไป มิเช่นนั้นจะไม่นับญาติกันเลยทีเดียว ครั้นพระพิชัยมงกุฏยกทัพออกไปแล้ว ท้าวสัณนุราชจึงให้จับนางยักษ์แปลงมาทรมานอย่างหนักจนต้องสารภาพความจริง แล้วจึงให้นางพิรากลนำทัพไปจนถึงเมืองวิรุณจักรพร้อมกับล้อมเมืองเอาไว้ พร้อมกับให้นางยักษ์มารดาของนางอรุณวดีส่งตัวนางพิกุลทองกลับมา นางยักษ์ได้ฟังก็กลัวจึงถอดนางพิกุลทองออกจากตรุมาแต่โดยดี ท้าวสัณนุราชจึงให้พานางพิกุลทองกลับมายังเมืองสรรพบุรี
[แก้] ศึกอสูรสังหาร
พระลักษณาและพระยมยศออกเดินทางแล้วหลงทิศเข้าไปในเมืองของพญายักษ์ อสูรสังหาร สองพี่น้องจึงแอบไปหลบอยู่ในส่วน ข้างนางพิศวงซึ่งเป็นธิดาสาวแรกรุ่นโฉมงามของยักษ์อสูรสังหารเผอิญลงไปเก็บดอกไม้ในสวนเพื่อร้อยดอกไม้ถวายพระบิดา พอดีพบกับพระลักษณาซึ่งกำลังแตกเนื้อหนุ่มรูปงาม พระลักษณาก็มอบดอกรักไว้ให้ฝ่ายนางพิศวงก็เกิดหลงรักเช่นกัน ตกดึกพระลักษณาจึงลอบเข้าห้องและได้นางพิศวงเป็นชายา ฝ่ายนางค่อมสาวใช้เห็นนางพิศวงตื่นสายผิดสังเกตจึงเข้าไปปลุกเห็นนอนอยู่กับหนุ่มรูปงามจึงรีบไปแจ้งแก่ท้าวอสูรสังหาร ๆ กริ้วมากให้พลยักษ์ไปช่วยกันจับตัวไว้ให้แห่ประจานแล้วนำไปประหาร ฝ่ายพระยมยศซึ่งออกตามหาพี่ชายได้ยินพวกยักษ์ชาวเมืองคุยกันถึงหนุ่มรูปงามที่ลอบเข้าหาธิดาพญายักษ์ ก็รู้ทันทีว่าเป็นพี่ตนจึงแหวกฝูงยักษ์เข้าไปใช้พระขรรค์แก้ววิเศษแก้เอาพระลักษณาออกมาได้ แล้วพากันเหาะหนีไปนอกเมือง ข้างท้าวอสูรสังหารทราบว่านักโทษหนีไปได้ ก็ยกพลออกตามทันที ทั้งสองพี่น้องต่อสู้อย่างสุดกำลังและใกล้เพลี่ยงพล้ำพระพิชัยมงกุฏก็ตามมาช่วยทันพอดี ท้าวอสูรสังหารถือตนว่ามีศรวิเศษจึงแผลงไปกลายเป็นไฟกรดเผาไหม้ แต่พระพิชัยมงกุฏก็แผลงศรแก้เป็นน้ำไปดับไฟไว้ได้ ท้าวอสูรสังหารก็แผลงศรเป็นอาวุธต่าง ๆ มากมายหล่นลงมา พระพิชัยมงกุฏก็แผลงศรเป็นพายุหอบเอาอาวุธไปตกนอกจักรวาลจนหมด แล้วแผลงศรเป็นนาคไปมัดท้าวอสูรสังหารไว้ ท้าวอสูรสังหายอมจำนนและยกนางพิศวงให้พระลักษณาแต่โดยดี
[แก้] พระยมถูกลัก
ต่อมาทั้งสามจึงพากันตามหานางพิกุลทองไปถึงเมือวิรุณจักรทราบข่าวว่าท้าวสัณนุราชรับกลับเมืองไปแล้ว พระพิชัยมงกุฏจึงให้ประหารนางพิรากลแล้วพากันเดินทางกลับ ระหว่างที่พักอยู่กลางทางมีนางยักษ์ประลัยกัลป์ผ่านมาเห็นพระยมยศเป็นหนุ่มวัยรุ่นรูปงามก็แปลงเป็นสาวสวยเป่ามนต์สะกดแล้วลักพาไปใว้ในถ้ำ ฝ่ายพระพิชัยมงกุฏและพระลักษณาตื่นมาไม่เห็นน้องจึงพากันออกหาแต่ไม่พบ ก็ยกทัพกลับเมืองแล้วให้พระลักษราออกติดตามต่อไป มีเงาะป่าสองผัวเมียชื่อกาวินส่วนเมียชื่อนิลหัตถีซึ่งมีแก้วกายสิทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และเป้นเพื่อนกับนางยักษ์ประลัยกัลป์ วันหนึ่งนางนิลหัตถีเกิดแอบมาเห็นพระยศอยู่ในถ้ำก็หลงรัก จึงรอให้นางประลัยกัลป์ออกจากถ้าแล้วสวมรอยแปลงร่างเป็นนางฟ้าชื่อนิลอำไพบอกพระยมว่าเป็นเทพธิดารักษาถ้ำ กลัวว่าจะถูกยักษ์กินจึงมาช่วย แล้วพาพระยมยศแอบไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง ฝ่ายเงาะกาวินผู้เป็นผัวเห็นเมียตนหายไปช้านักจึงเที่ยวออกค้นหาเห็นเมียตนกำลังออดอ้อนกับเจ้าหนุ่มน้อยอยู่ในถ้ำก็โกรธแล้วตรงเข้าต่อว่า นางนิลหัตถีได้ฟังผัวมาต่อว่าก็โกรธใช้ดวงแก้วกวัดแกว่งไล่ตี ขณะนั้นนางประลัยกัลป์กลับจากหาอาหารผ่านมาได้ยินเสียงทราบความทั้งหมดก็เข้าไปต่อว่านางนิลหัตถี แล้วเกิดต่อสู้กันจนนางเงาะพลาดท่าถูกแย่งดวงแก้วไปจากมือ แล้วถูกนางยักษ์ทุบด้วยกระบองจนตาย แล้วพาพระยมกลับถ้ำ ต่อมาพระยมก็ทำอุบายจนสามารถชิงดวงแก้ววิเศษหนีไปได้ ก็ใช้ดวงแก้วเหาะมาจนถึงเมืองโรมวิสัยของท้าวไภยทัตในคืนนั้นนางสุวรรณจินดาพระธิดาฝันว่ามีดวงแก้วลอยมาและนางสามารถรับไว้ได้ ครั้นตื่นมาไม่เห็นดวงแก้วก็เสียใจจนประชวร ท้าวไภยทัตทราบเรื่องก็ขนดวงแก้วทั้งหมดออกมาจากคลังให้นางเลือกก็ยังไม่ถูกใจ จึงให้ป่าวประกาศว่าหากใครมีแก้วมณีงามๆ ให้นำมาให้พระธิดาเลือกหากถูกใจจะตบรางวัลให้ พระยมเมื่อเข้ามาในเมืองเกิดผิดใจกับลูกชายนายด่านชื่อนายฉันทาแล้วต่อสู้กัน พระยมมีแก้ววิเศษจึงไม่มีใครสู้ได้ นายฉันทาทราบประกาศจึงแสร้งทำดีเพื่อคิดจะขโมยแก้ววิเศษจึงขอโทษแล้วชวนพระยมไปอยู่ด้วย ครั้นตกดึกก็แอบขโมยแก้วไปถวายท้าวไภยทัต ซึ่งเป็นแก้วที่ตรงตามความฝันของสุวรรณจินดา จึงถามว่าต้องการรางวัลอะไร นายฉันทาทูลว่าขออภิเษกสมรสกับพระธิดาทำเอาท้าวไภยทัตถึงกับตรัสไม่ออก ครั้นเมื่อพระยมตื่นมาไม่เห็นแก้ว จึงรู้ว่าถูกหลอกขโมยไปจึงออกติดตามไปถึงในวังเพื่อทวงสิทธิ์คืน นายฉันทาก็กล่าวเท็จว่า นายยมมาขออาศัยอยู่กับตนเห็นตนมีดวงแก้วก็เกิดอิจฉา ท้าวไภยทัตจึงทรงติดสินให้แต่ละฝ่ายซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของแสดงคุณวิเศษของดวงแก้วให้ชม ปรากฏว่านายฉันทาไม่สามารถใช้ได้เลย ส่วนพระยมยศก้แสดงอิทธิฤทธิ์เช่นหายตัวเหาะเหินเดินอากาศได้ พระเจ้าไภยทัตกริ้วมากสั่งให้นำฉันทาไปประหารแต่พระยมยศทูลขออภัยโทษไว้ จึงโปรดให้ทวนเฆี่ยนด้วยหวาย ๑๐๐ ทีแล้วสักหน้าไล่ออกจากเมืองไปโทษฐานที่มาหลอกพระเจ้าแผ่นดิน พระยมยศจึงเล่าความเป็นมาให้ฟังครั้นทราบว่าเป็นลูกเจ้าท้าวพระยาเช่นกันจึงทรงโปรดให้อภิเษกกับนางสุวรรณจินดา
[แก้] ศึกชิวหาวินาศ
จะกล่าวถึงท้าวชิวหาวินาศพญายักษ์เจ้าเมืองเพชรรัตน์มีฤทธิ์แลบลิ้นยาวถึงสะดือจะกลายเป็นไฟกรดเผาผลาญศัตรู ครั้นทราบถึงความงามของนางสุวรรณจินดา ก็จึงยกทัพมาสู่ขอ พอทราบว่าแต่งงานกับพระยมแล้วก็โกรธเตรียมกองทัพยกมาเพื่อจะชิงนาง พระยมยศจึงอาศาออกรบเพื่อทดแทนพระคุณ ยักษ์ชิวหาวินาศแลบลิ้นเป็นไฟกรดออกมาแต่ถูกพระยมขว้างดวงแก้วไปถูกลิ้นขาดตาย ท้าวไภยทัตยินดีจึงยกเมืองให้ครองแทน ส่วนนางยักษ์ประลัยกัลป์ซึ่งออกติดตามมาสืบรู้ว่าคนที่ออกรบกับท้าวชิวหาวินาศชื่อยมยศ จึงตามมาที่เมืองในยามดึกแปลงเป็นนางกำนัลอุ้มเอานางสุวรรณจินดาไปตบตีจนสลบแล้วเหวี่ยงทิ้งแม่น้ำ ส่วนนางก็แปลงเป็นนางสุวรรณจินดาเข้าไปนอนเคียงข้างแทน นางสุวรรณจินดาตัวจริงลอยไปติดท่าน้ำหน้าอาศรมพระฤาษีสมมิตร จึงจัดแจงช่วยนางจนฟื้นแล้วถามที่มา นางจึงอยู่ปรนนิบัติฤาษี จนกระทั่งวันหนึ่งพระลักษณาผ่านมาเห็นนางจึงเข้าไปเกี้ยวพาราสี นางก็กล่าวว่ามีสามีแล้วชื่อพระยมยศ พระลักษณาได้ยินชื่อน้องชาย จึงถามเอาจนทราบความแล้วชวนกันเข้าเมืองเพื่อจัดการกับนางยักษ์
[แก้] กำเนิดลูกกรอก
ครั้นทั้งสองยกทัพมาถึงเมืองแล้วก็ให้พักพลอยู่นอกเมือง พระลักษณ์ก็พานางสุวรรณจินดาตัวจริงไปแสดงตนกับท้าวไภยทัตจึงเกิดเรื่องโอละพ่อขึ้นเมื่อนางสุวรรณจินดามี ๒ คน พระมารดาจึงออกอุบายถามถึงตำหนิว่า ถ้าเป็นตัวจริงต้องตอบได้ว่าถันของนางสุวรรณจินดามีตำหนิที่ไหน นางสุวรรณจินดาตัวจริงตอบว่ามีไฝที่ถัยซ้าย ส่วนนางยักษืแปลงตอบไม่ได้ก็เสียท่ากลับคืนร่างเดิมอุ้มพระยมหนีไป นางยักษ์ซึ่งตั้งครรภ์ตั้งแต่อยู่กับพระยมในถ้ำก็เกิดเหนื่อยจนตกเลือดตายกลางป่า พระยมสงสารลูกก็จัดแจงเตรียมเผา แต่ลูกกรอกก็สำแดงฤทธิ์บอกพ่อว่าให้นำตนติดตัวไว้จะช่วยพ่อได้เมื่อมีภัย พระยมจึงเอาผ้าห้อผูกติดเอวไว้แล้วเอาดวงแก้วอธิษฐานเผาร่างนางยักษ์แล้วออกเดินป่าหาทางกลับเมืองโรมวิสัย
[แก้] ศึกท้าวไตรจักรฆัคนานต์
พระยมเดินหลงมาถึงเมืองธรรมราชบุรีมีพระเจ้าไทยทศมิตรปกครอง มเหสีฝ่ายขวาชื่อนางโสภิณ มีพระธิดาโสภาชื่อศรีสุคนธ์มเหสีฝ่ายซ้ายชื่อนางอำภามีพระธิดาคนน้องชื่อนางฉวีวรรณ ในเมืองกำลังประสบเรื่องวุ่นวายเนื่องจากมียักษ์ออกจากป่ามาลอบจับพลเมืองกินทุกวัน ท้าวไททศมิตรจึงมีบัญชาให้ประกาศตามหัวเมืองหาผู้มาปราบยักษ์ร้าย ท้าวไตรจักรฆัคนานต์ แห่งเมืองโกสัยรัฐทราบข่างจึงได้ให้พระโอรสชื่อพระรัชนิกรอาสาไปปราบ พระยมเห็นทัพเดินทางผ่านมาจึงขออาศัยไปด้วย ครั้นมาถึงเมืองและกำหนดวันปราบยักษ์ในวันรุ่งขึ้น พระยมก็ออกไปดูด้วย ทัพพระรัชนิกรต่อสู้กับยักษ์ไม่ได้ก็แตกร่นไป เพราะยักษ์ตนนี้ร่างเป็นเหมือนหินผาฆ่าไม่ตาย พระยมจึงเข้าไปต่อสู้ด้วย ฝ่ายพระรัชนิกรเห็นคนมาช่วยก็แสร้งกลับมาทำช่วยต่อสู้ซ้ำเติม ในที่สุดยักษ์ร้ายก็ถูกลูกกรอกตัดหัวได้ เนื่องจากเป็นผีป่าคนธรรมดาฆ่าไม่ตาย พระรัชนิกรเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าหัวยักษ์กลับเข้าวังทูลท้าวไททศมิตรเอาความดีความชอบ ฝ่ายพระยมกลับมาจึงโต้เถียงกัน ท้าวไททศมิตรจึงยุติด้วยการยิกนางศรีสุคนธ์ให้พระยมยศ และยกนางฉวีวรรณให้พระรัชนิกร แต่พระรัชนิกรก็ยังริษยาว่าตนได้เป็นเขยรองคงไม่ได้ครองเมืองจึงลอบเขียนสารส่งให้บิดายกทัพมาตีเมือง ข้างท้าวไตรจักรฆัคนานต์ได้ทราบเรื่องก็ว่าท้าวไททศมิตรทำเช่นนี้เหมือนหยามเกียรติกัน ก็จัดแจงแปลงกายเป็นยักษ์ แล้วให้ไพร่พลปลอมเป็นคนป่ายักทัพมาตีเมือง ทัพของท้าวไททศมิตรสู้ไม่ได้ก็แตกร่นมา แล้วโปรดให้พระยมยสและพระรัชนิกรออกรบแทน พระรัชนิกรเห็นเป็นยักษ์ไม่ทราบว่าเป็นบิดาแปลงมาก็หลบเลี่ยงหนีไป พระยมจึงเศกดวงแก้วเป็นพระขรรค์ไปตัดเศียรท้าวไตรจักรขาดแล้วเอาใส่ถังปิดฝาไว้ พระรัชนิกรจึงให้ลูกน้องแอบเอามาแล้วถวายท้าวไททศมิตรเอาความชอบตามเคย แต่ครั้นเปิดฝาหยิบขึ้นมากลับเป็นเศียรของบิดาตนก็เสียใจจนสลบ เมื่องเรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ ท้าวไททสมิตรจึงสอบสวนจนทราบความถึงกับกริ้วจัด ให้นำพระรัชนิกรไปประหาร แต่พระยมยศทูลขออภัยโทษไว้ จึงอภิเษกให้พระยมยศครองเมืองแทนตามความดีความชอบ
[แก้] บทอวสาน
พระรัชนิกรนั้นคิดแค้นอยู่ตลอดเวลา นางฉวีวรรณจึงแนะผัวให้นำสารหนูใส่ในอาหารเสวย พระยมไม่ทราบเสวยเข้าก็สิ้นพระชนม์ทันที ท้าวไททสมิตรจึงให้นำนักโทษประหารมาลองกินอาหารที่พระยมเสวยก้ตายลงเช่นกัน จึงรู้แน่ว่าใส่ยาพิษ จึงให้กักตัวนางวิเสทต้นครัวไว้สอบสวนทั้งหมดก็พบว่านางศรีสำอางค์ลอบหนีไปนอกเมือง ฝ่ายนางศรีสำอางค์ดั้นด้นในป่าจนพบกับพระลักษณ์มาตามหาน้อง ก็ตกเป็นชายาของพระลักษณ์เมื่อถามที่มาที่ไปนางก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พระลักษณาทราบความก็โกระบังคับให้นางเข้าไปสารภาพความจริงในเมืองธรรมราชบุรี เมื่อความจริงปรากฏท้าวไททสมิตรก็จึงสั่งให้ประหารคนทั้งสามคือ พระรัชนิกร,นางฉวีวรรณ และนางศรีสำอางค์ พระลักษณาจึงขออภัยโทษเฉพาะนางศรีสำอางค์ให้จำตรุไว้เท่านั้น เพราะได้สัญญาไว้ว่าจะให้รับโทษน้อยที่สุด ครั้นลูกกรอกกลับจากเที่ยวท่องอยู่ในป่าพบว่าพระยมยศสิ้นพระชนม์ ก็แอบยกศพออกจากปราสาท ทำเอาเสนาที่เฝ้านึกว่าผีหลอกหนีกันจ้าละหวั่น ลูกกรอกพาศพพ่อไปจนพบอาศรมของพระฤาษีสมมิตร นาสุวรรณจินดาเห็นพระยมยศก็จำได้จึงร้องไห้คร่ำครวญ พระฤาษีจึงว่าขระนี้ดวงจิตรของพระยมไปสิงอยู่ในร่างของคนป่าแล้วเดินเข้าเมืองจะไปหานางศรีสุทคนธ์แต่ถูกขับไล่ พระฤาษีจึงอ่านมนต์เรียกคนป่านั้นมาแล้วชุบพระยมขึ้นใหม่ จากนั้นก็ชุบร่างคนป่าให้ฟื้นคืนชีพด้วยชื่อว่าบ้องตัน เมื่อทั้งหมดพบกันด้วยความยินดีแล้ว พระลักษณา พระยมยศ นางสุวรรณจินดา และลูกกรอกก็ลาพระฤาษีกลับเมืองธรรมราชบุรี ก็บังเอิญว่านางศรีสุคนธ์เศร้าโศกถึงพระยมยศ และกำลังจะผุกคอตายพอดี แต่ลูกกรอกช่วยไว้ได้ทัน ทั้งหมดจึงพบกันด้วยความยินดี แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปครองบ้านเมืองของตนสืบไป
[แก้] อ้างอิง
- ตรีศิลป์ บุญขจร : กลอนสวดภาคกลาง ๒๕๔๗
- สมบัติ พลายน้อย : นิทานไทย ๒๕๔๔
- ตัวอย่างบทละครนอกที่นิยมเล่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา : ประวัติวรรณคดีไทย ๒๕๒๔
- ธวัช ปุณโณทก, ศาสตราจารย์ : วิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นเชิงเปรียบเทียบ
![]() |
พิกุลทอง เป็นบทความเกี่ยวกับ วรรณคดี วรรณกรรม หรือหนังสือ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น |