พูดคุย:ครอบครองปรปักษ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การครอบครองปรปักษ์ ตามกฎหมายไทยได้บัญญัติหลักทั่วไปไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1382 ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์" ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรานี้ การครอบครองปรปักษ์จึงต้องถือหลักสำคัญดังนี้ 1. ต้องมีการครอบครองอยู่จริง ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในทางใดจากทรัพย์สินที่ประสงค์จะครอบครองปรปักษ์อยู่จริง 2. ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น นั่นคือ ต้องรู้อยู่ตั้งแต่แรกก่อนที่จะเข้าไปครอบครองแล้วว่า ทรัพย์สินนั้นเป็นของบุคคลอื่น มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน เคยมีคำถามว่าแล้วการเข้าใจว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตนเอง แต่ความจริงเป็นของผู้อื่นล่ะ.....เช่น ก. เข้าใจว่าที่ดินแปลงหนึ่งเป็นของตนจึงได้เข้าไปใช้ประโยชน์โดยการทำไร่เกินกว่า 10 ปีแล้ว แต่ความจริงแล้วที่ดินแปลงนั้นเป็นของ ข. ดังนี้ เมื่อ ข. มาเรียกร้องเอาที่ดินแปลงนั้นคืน ก. จะอ้างว่าตนได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่ คำตอบคือไม่สามารถทำได้ เพราะการที่ ก. เข้าไปครอบครองนั้น ก. เชื่อว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นของตนเอง จึงขาดเจตนาที่จะ "ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น" ไป 4. ต้องครอบครองติดต่อกันเกิน 10 ปี กรณีอสังหาริมทรัพย์ และเกินกว่า 5 ปีในกรณีสังหาริมทรัพย์ ในกรณีการครอบครอง "ติดต่อ" กันนั้นมีปัญหาอยู่พอสมควร เพราะบางครั้งการครอบครองนั้นอาจมีเหตุการณ์บางอย่างมาขัดขวางมิให้ครอบครองได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้การครอบครองสะดุดหยุดลง ดังนี้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1384 ได้บัญญัติไว้ว่า "ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัครและได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง ดังนั้น การขาดการยึดถือโดยไม่สมัครใจ เช่น ภัยธรรมชาติ ถูกฟ้องโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ฯลฯ ดังนี้ หากกลับมาครอบครองต่อภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี กฎหมายไม่ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง เช่น ก. ครอบครองที่ดินเปล่าแปลงหนึ่งมา 11 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2530-2541 แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าตอนช่วงปี 2536 เกิดน้ำท่วมที่ดินแปลงนั้น ทำให้ ก. ไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงนั้นได้จึงละทิ้งไป แต่ได้กลับมาครอบครองใหม่ช่วงปี 2537 ดังนี้ การครอบครองก็ไม่สะดุดหยุดลง
หลักเกณฑ์การครอบครอง
1.) ผู้ครอบครองต้องมีเจตนายึดถือเพื่อตน นั่นคือ ต้องมีการใช้สอยประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน 2.) ผู้ครอบครองต้องครอบครองโดยสงบ นั่นคือ เป็นการครอบครองตามปกติ ตามอย่างที่บุคคลทั่วไปเขาจะปฏิบัติต่อทรัพย์สินเช่นนั้น เช่น มีที่ดินก็อาจปลูกบ้าน ทำไร่ ทำสวน เป็นต้น หรือหากมีปากกาก็ต้องนำไปใช้จด เขียน เช่นนี้ก็เป็นการครอบครองโดยสงบ 3.) ผู้ครอบครองต้องครอบครองโดยเปิดเผย นั่นคือ การครอบครองต้องเป็นการแสดงให้เห็นว่าตนนั้นครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ ไม่ใช่ครอบครองแบบหลบๆ ซ่อนๆ เช่น เข้าไปครอบครองบ้านร้าง 1 หลัง แต่ไปอาศัยเฉพาะช่วงกลางคืนเพราะกลัวชาวบ้านเห็น พอตอนเช้าก็ออกไปอยู่ที่อื่น หรือครอบครองปากกา 1 ด้าม ปกติก็ใช้เขียนอย่างคนทั่วไป แต่พอมีคนเดินผ่านมาก็รีบเก็บเข้ากระเป๋าเพราะกลัวคนอื่นเห็น เช่นนี้ ไม่ใช่การครอบครองโดยเปิดเผย
เมื่อครอบครองปรปักษ์ครอบกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว จะทำเช่นไร?
เมื่อครอบครองปรปักษ์ครอบกำหนดแล้ว มิใช่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นมาทันที แต่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำตามแบบก่อนจึงจะได้ทรัพยสิทธิ หากยังไม่ทำตามแบบ เพียงแต่ครอบครองมาครอบกำหนดเวลาแล้ว คงได้แต่เพียงบุคคลสิทธิเท่านั้น ซึ่งแบบของการครอบครองปรปักษ์นั้น อาศัยมาตรา 1299 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้ "ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้นถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว" ดังนั้น เมื่อได้ครอบครองทรัพย์สินได้ครบกำหนดตามอายุความครอบครองปรปักษ์แล้ว หากยังมิได้จดทะเบียนก็ยังคงได้แต่เพียงบุคคลสิทธิ ใช้ยันบุคคลอื่นได้เท่านั้น แต่ยังไม่ได้ทรัพยสิทธิที่จะจำหน่าย จ่าย โอน ให้ แก่บุคคลอื่นได้ เพราะการจำหน่าย จ่าย โอน หรือให้นั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ดังนั้นผู้ที่ครอบครองปรปักษ์แล้วจึงต้องไปทำตามแบบของกฎหมาย นั่นคือจดทะเบียน เพราะการครอบครองปรปักษ์ถือเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม จึงต้องจดทะเบียนเป็นหลักฐานการได้มาเพื่อใช้แสดงต่อบุคคลภายนอก เมื่อจดทะเบียนแล้วก็เท่ากับได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ที่กล่าวมาคือหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์อย่างง่ายๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วการจะอธิบายถึงการครอบครองปรปักษ์นั้นต้องอ้างอิงหลายหลักเกณฑ์ด้วยกัน เพราะการครอบครองปรปักษ์นั้นจะเกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การแสดงเจตนา หลักสุจริต หลักเกณฑ์การครอบครอง รวมทั้งยังมีเรื่องของอายุความได้สิทธิโดยครอบครองปรปักษ์ว่ามีการสะดุดหยุดลงหรือไม่ และอีกหลายๆ หลักเกณฑ์ที่ต้องนำมาพิจารณาปรับใช้กับหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ ซึ่งในส่วนของหลักเกณฑ์ด้านอื่นๆ นั้นจะขออธิบายในโอกาสต่อไปครับ.....