เวลา (หนังสือ)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เวลา.... .นวนิยายที่สร้างชื่อเสียงให้ชาติ กอบจิตติโด่งดังอีกครั้งหลังจากคำพิพากษา คือเรื่องเวลา ซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสองรางวัลใหญ่ในปีเดียวกัน คือ รางวัลหนังสือดีเด่น ประเภทนวนิยายของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ และรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ รางวัลซีไรต์ในปีเดียวกัน ซึ่งทำให้ชาติ กอบจิตติ เป็นนักเขียนคนแรกที่ได้รับรางวัลซีไรต์สองครั้งอีกด้วย เนื่องจากเรื่องเวลาเป็น นวนิยายที่ดีเด่นทั้งด้านเนื้อหา และทั้งแสดงนวัตกรรมด้านรูปแบบการนำเสนอ จึงขอกล่าวถึงโดยละเอียด ดังนี้
เวลา เรื่องของผู้กำกับภาพยนตร์ไปดูละครเวทีเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของคนชราในสถานสงเคราะห์คนชราแห่งหนึ่ง โดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ “ผม” เป็นผู้เล่าเรื่อง ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง กิจวัตรประจำวันของคนชราและคนดูแล การเล่าถึงภูมิหลังของคนชราแต่ละคน แต่ในบรรยากาศของความ สิ้นหวัง คนชราเหล่านั้นยังมีความหวัง การรอคอย ความห่วงใย และความรัก โดยมีเวลาเป็น “นายใหญ่” กำหนดจังหวะชีวิตอย่างไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ ตลอดเวลาที่ชมละครเวที “ผม” จะได้ยินเสียงตาแก่ที่เป็นบ้าเพราะถูกโกงสมบัติ ตะโกนเป็นระยะว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ในขณะที่ “ผม” ดูละครเรื่องนี้เขาจะรู้สึกว่าเรื่องราวที่ดำเนินไปบนเวทีเนิบช้าน่าเบื่อ ดังนั้น “ผม” จึงคิดเปรียบเทียบว่า หากเขานำเรื่องนี้ไปทำเป็น ภาพยนตร์เขาจะทำอย่างไร นอกจากนี้เรื่องราวและเหตุการณ์บนเวทีกระตุ้นให้ “ผม” คิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขา โดยเฉพาะ “ผม” เกิดความรู้สึกผิดในการตายของลูกสาว เพราะมัวสนใจแต่การทำงานจนละเลยแม้แต่งานศพของเธอ “ผม” ก็ไม่ได้ไป
ในนวนิยายเรื่อง เวลา ชาติ กอบจิตติ นำปรัชญาพระพุทธศาสนาเรื่องไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ทุกขัง คือ ความทุกข์ และอนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน มานำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสภาวะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของมนุษย์ ซึ่งเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตและได้ประจักษ์ว่าสิ่งที่เขาแสวงหามาตลอดชีวิตนั้นแท้จริงแล้ว “ไม่มีอะไร” นวนิยายเรื่อง เวลา จึงแสดงถึงวุฒิภาวะของผู้เขียนซึ่งตระหนักในแก่นแท้ของสัจธรรมแห่งชีวิตอันเป็นสากล
นอกจากแนวคิดที่แสดงสัจธรรมดังกล่าวแล้ว การเสนอเรื่องยังมีลักษณะริเริ่มสร้างสรรค์ ใช้กลวิธีแปลกใหม่ประสมประสานสื่อระหว่างศิลปะของภาพยนตร์ ละคร และวรรณศิลป์ได้อย่างกลมกลืน โดยเสนอผ่านสายตาและความคิดของผู้ดูละครคนหนึ่งซึ่งเป็นนักสร้างภาพยนตร์ กลวิธีนี้ทำให้การดำเนินเรื่องน่าสนใจ มองได้หลายแง่มุม ตัวละครมีลักษณะเด่น มีสีสันและมีชีวิตชีวา สารของเรื่องนี้จึงมีพลังกระทบอารมณ์ผู้อ่านให้ตระหนักถึงความว่างเปล่าของชีวิตที่มนุษย์หลงยึดติดอยู่กับสิ่งอื่นโดยมิได้สำเหนียกความจริงข้อนี้
นวนิยายเรื่อง เวลา ดำเนินเรื่องด้วยกระแสความคิดของตัวละครผู้เล่าเรื่อง โดยตัดสลับระหว่างมิติของละครเวทีกับมิติของนวนิยายผนวกด้วยมิติของภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลา การใช้กลวิธีการเล่าเรื่องด้วยสื่อศิลปะสามประสานเช่นนี้อาจจะไม่ได้สร้างความบันเทิงให้แก่ผู้อ่านเหมือนอ่านนวนิยายเรื่องอื่นๆ เพราะนวนิยายเรื่องนี้เร้าสมองให้เราคิดตามอยู่แทบจะทุกหน้ากระดาษ ชาติใช้ข้อดีและข้อจำกัดของสื่อแต่ละชนิดเสริมรับกันอย่างน่าชมเชย เช่นละครให้ภาพกว้างของเหตุการณ์ที่ดำเนินไปพร้อม ๆ กันได้ ส่วนภาพยนตร์สามารถเน้นภาพเฉพาะที่ต้องการ แต่ก็เป็นการกำหนดและบงการอารมณ์อย่างโจ่งแจ้ง แต่ทั้งละครและภาพยนตร์ก็ไม่สามารถนำเสนอความรู้สึกภายในใจของตัวละครได้อย่างลึกซึ้งละเอียดซับซ้อนเท่ากับการพรรณนาของ นวนิยาย ดังนั้นการใช้ศิลปะสามประสานเพื่อเล่าเรื่องจึงเป็นการ “ลอง” และ “เล่น” ของผู้แต่งที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย ดังเช่น ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ นักวิจารณ์กล่าวชมเชย
“ความสนุกของนวนิยายเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การหลีกล้อ ล่อหลอกและสับหลีกระหว่างรูปแบบต่างๆของการเล่าเรื่อง อย่างได้จังหวะจะโคนและอย่างจงใจ ชาติจัดฉากและสีแสงให้เราเพลิดเพลินไปกับละครบนเวทีจนเราเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราวที่ดำเนินอยู่บนเวที ก่อนที่จะกระชากฉากเวทีให้เราได้เห็นถึงข้อจำกัดของละคร ขณะเดียวกันชาติได้นำพาอารมณ์เราให้เตลิดไปสู่ความตระการตาของภาพยนตร์ หลงใหลได้ปลื้มอยู่กับมันพักใหญ่ ก่อนที่จะปิดเครื่องฉายและทิ้งไว้แต่จอภาพยนตร์อันว่างเปล่า เสร็จแล้วก็ชี้ชวนให้เราท่องไปในมหาสมุทรของตัวอักษร จนเรารู้สึกตะลึงงันและตื้นตันใจกับความล้ำลึกละเอียดอ่อนของอารมณ์และความรู้สึกก่อนที่จะลบมันออกจนหมดสิ้นชั่วพริบตาอย่างง่ายดาย”
ชูศักดิ์ยังเห็นว่านวนิยายเรื่องเวลาเป็นมากกว่า “นวนิยายเรื่องใหม่” ของชาติ กอบจิตติ ทว่าเป็น นูโว โรมอง (nouveau roman) หรือ “นว-นวนิยาย” ซึ่งเป็นนวนิยายที่ปฏิเสธรูปแบบของนวนิยายทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโครงเรื่อง ตัวละคร การใช้มุมมอง สถานที่ และเวลา ดังนั้น นวนิยายเรื่อง เวลา จัดได้ว่าเป็น “นูโว โรมอง” เล่มแรกของวงการนวนิยายไทย นอกจากนี้ยังเห็นว่าชาติ กอบจิตติ ท้าทายความคุ้นเคยที่ผู้อ่าน มีต่อรูปแบบของนวนิยายอย่างชนิดที่ไม่เคยมีนักเขียนไทยคนใดทำมาก่อน เพราะแทนที่ชาติจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชะตากรรมอันแสนรันทดของคนแก่ที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในบ้านพักคนชราตามแบบฉบับของนวนิยาย เขากลับใช้วิธีการนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้อย่างน้อยถึงสี่รูปแบบ คือ ๑. เรื่องเล่าที่มี “ผม” บุรุษที่ ๑ เป็นผู้เล่าเรื่อง (first person narrator) แก่ผู้อ่าน ๒. เรื่องเล่าที่มีผู้เล่าเป็นสัพพัญญู (omniscient narrator) ทำหน้าที่บรรยายอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครต่างๆที่แสดงอยู่บนเวที ซึ่ง “ผม” ไม่สามารถล่วงรู้ได้ ๓. ละครที่เกี่ยวกับชีวิตคนชราในบ้านพักคนชราที่ “ผม”กำลังชมอยู่ ๔. บทภาพยนตร์ที่ “ผม” คิดว่าจะเขียนหากนำบทละครเรื่องนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ นวนิยายเรื่องเวลาจึงเป็นก้าวใหม่อีกก้าวหนึ่งของชาติ กอบจิตติ ที่นำเอาเรื่องของคนแก่ซึ่งเป็นเรื่อง “น่าเบื่อ” หรือเรื่องสามัญธรรมดาที่คนทั่วไปมองข้ามไป มาเล่าได้อย่างมีชีวิตชีวา สะเทือนอารมณ์ และ ให้แง่คิดถึงสัจธรรมแห่งชีวิต ด้วยนวัตกรรมแห่งการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนแต่มีเอกภาพและกลมกลืนกับเนื้อเรื่อง