ระบบติดตามอากาศยานภาคพื้นดิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

ความเป็นมาของระบบติดตามอากาศยานภาคพื้นดิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ถูกจัดสร้างให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าสนามบินดอนเมือง ตามปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้การเพิ่มขึ้นของปริมาณอากาศยานที่มาใช้บริการของสนามบิน เป็นสาเหตุให้การบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น เช่น การเติมน้ำมัน การขนกระเป๋า การขนสินค้า เป็นต้น ซึ่งบริการเหล่านี้ต้องอาศัยรถยนต์เป็นหลักจึงทำให้มียานพาหนะจำนวนมากอยู่บนสนามบิน เป็นอุปสรรคต่อ Tower Controlที่ต้องควบคุมการจราจร บริเวณสนามบิน จากที่สูงด้วยตาเปล่า การยืนยันตำแหน่งของอากาศยานด้วยตาเปล่า บริเวณรอบสนามบินขนาดใหญ่ เป็นสิ่งที่ยากลำบากต่อ ผู้ควบคุมจราจรทางอากาศ อาจมีบางจุดที่ไม่สามารถมองเห็นเครื่องได้ แม้ว่าจะมีองค์ประกอบอื่นเข้ามาช่วย เช่น กล้องส่องทางไกล ,การรายงานตำแหน่งของนักบินผ่านทางวิทยุ อีกทั้งถ้าอยู่ในช่วงกลางคืนหรือในสภาวะที่ ทัศนวิสัยเลวร้าย เช่น ฝนตกหนัก (ซึ่งเกิดบ่อยในประเทศไทย) จึงได้มีการพัฒนาระบบเรดาร์ตรวจจับสิ่งเคลื่อนไหวบนสนามบินขึ้น ระบบนี้ได้ถูกเรียกว่า ระบบติดตามอากาศยานภาคพื้นดิน ระบบติดตามอากาศยานภาคพื้นดิน ที่ติดตั้งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ มีอยู่ 2 ระบบคือ

[แก้] 1. ระบบเรดาร์ SMR (Surface Movement Radar)

ระบบเรดาร์SMR โดยพื้นฐานแล้วใช้หลักการเดียวกันกับ Primary Radar คือใช้การสะท้อนของคลื่นวิทยุที่ ส่งออกไปกระทบเป้า มาคำนวณหาตำแหน่งของเป้า แต่จะแตกต่างกันที่ ระบบเรดาร์ SMR ใช้กำลังส่งสัญญาณที่ต่ำกว่าเพราะ ต้องการ Coverage แค่เพียงบริเวณภายในท่าอากาศยานเท่านั้น ระบบ SMR จึงถูกนำมาใช้เพื่อทำหน้าที่ในการ ตรวจจับการเคลื่อนไหวบนสนามบิน ตรวจสอบการกีดขวางของยานพาหนะ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่ม ประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ท่าอากาศยาน เนื่องจากระบบเรดาร์ SMR (Surface Movement Radar) นั้นทำงานโดยหลักการของระบบ PRIMARY RADAR ดังนั้นภาพที่แสดงบนจอ จะแสดงภาพเป็นเพียงเป้าเรดาร์ ซึ่งเป้าเรดาร์ของเครื่องบินและยานพาหนะต่างๆจะดูคล้ายคลึงกัน ดังนั้น CONTROLLER จะไม่สามารถจำแนกหรือชี้ชัดได้ว่าเครื่องบินแต่ละลำอยู่ที่ใด ในทางปฏิบัติ CONTROLLER (TOWER) จะต้องมองด้วยสายตาและติดต่อไปยังนักบินเพื่อจะได้ทราบตำแหน่งของเครื่องบิน ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สะดวกและปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ดังนั้นจึงได้นำอีกระบบ เข้ามาร่วมใช้งานกับระบบเรดาร์ SMR

[แก้] 2. ระบบ MDS (MULTISTATIC DEPENDENT SURVEILANCE SYSTEM)

โดยระบบ MDS ยังสามารถแก้ไขขีดจำกัดของระบบ SMR อันเกิดมาจากจุดอับของการตรวจจับเป้า อันเกิดมาจากการบดบังของสิ่งก่อสร้างภายในสนามบิน ระบบ MDS ทำงานโดยอาศัยหลักการของระบบ SSR (SECONDARY SURVEILLANCE RADAR) และระบบ ADS-B (AUTOMATIC DEPENDENT SURVEILLANCE-BROADCAST) โดยทำการติดตั้งเครื่องรับ/เครื่องส่ง RECEIVER/TRANSMITTERS (R/Ts) ไว้ตามสถานที่ต่างๆเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ของสนามบินนั้นๆ ในหลักการของระบบ SSR นั้น เครื่องรับ/เครื่องส่งที่ติดตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆจะส่งสัญญาณ INTERROGATION (MODE A/C) โดยมีสัญญาณเวลามาตรฐานควบคุมการส่ง เมื่อเครื่อง TRANSPONDER บนเครื่องบินรับสัญญาณ INTERROGATOR ดังกล่าวได้ก็จะทำการส่งสัญญาณ REPLY CODE (MODE A/C/S) เครื่องรับ R/T จะรับสัญญาณ REPLY ดังกล่าวทำการ TIMESTAMPS , DECODES TRANSPONDER REPLY , DECODE MODE-S AIRCRAFT INFORMATIONS และส่งไปยัง MDS SERVER ทำการ PROCESS และโดยเทคนิค TIME-DIFFERENCE-OF-ARRIVAL ( TDOA ) ระบบสามารถคำนวณหาระยะทางจากเครื่อง TRANSPONDER ถึงเครื่องรับแต่ละตัวที่รับสัญญาณ REPLY นั้นได้ ( อย่างน้อย 3 เครื่อง ) ดังนั้นระบบจึงสามารถกำหนดตำแหน่งของเครื่องบินได้อย่างแม่นยำ จากนั้นระบบจะส่งข้อมูล (MODE CODE , AIRCRAFT INFORMATIONS) และตำแหน่งของเครื่องบิน ไปยังระบบประมวลผลของระบบติดตามอากาศยานภาคพื้น (STREAMS) เพื่อทำการประมวลผลร่วมกับข้อมูลเป้าเรดาร์จากระบบ SMR และจะแสดงภาพบนจอโดยจะมี MODE CODE/CALL SIGN , AIRCRAFT INFORMATIONS ของเครื่องบินลำที่รับได้ ปรากฏอยู่ควบคู่กัน ในหลักการของ ADS-B นั้นเครื่องบินจะส่งตำแหน่งและข้อมูลซึ่งได้จาก GLOBAL POSITIONING SYSTEM ( GPS ) โดยใช้ความถี่ของ SECONDARY SURVEILLANCE RADAR ( 1090 MHZ ) และใช้รูปแบบข้อมูล แบบ MODE-S TYPE SIGNAL FORMAT เมื่อเครื่องรับ/เครื่องส่ง R/T รับสัญญาณดังกล่าวได้ ก็จะทำการ PROCESS ตามขั้นตอนข้างต้น