การเลี้ยงหอยนางรม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สารบัญ

[แก้] การเลี้ยงหอยนางรม

หอยนางรม เป็นหอยสองฝาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงมีผู้บริโภคหอยนางรมกันมากโดยเฉพาะหอยนางรมพันธุ์ใหญ่หรือหอยตะโกรม เนื่องจากการตลาดหอยนางรมนั้น มีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมากเพราะผลผลิตในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ทำให้หอยนางรมมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับหอยชนิดอื่นๆ หอยนางรมที่นำมาบริโภคเกือบทั้งหมดเป็นหอยที่ได้จากการเพาะเลี้ยงโดยอาศัยธรรมชาติ หอยจะกรองกินพืชน้ำขนาดเล็กที่แขวนลอยในแหล่งน้ำเค็มเป็นอาหารหลัก

ในประเทศไทยมีพันธ์หอยนางรมตามธรรมชาติอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่นิยมเพาะเลี้ยงเพื่อนำมาบริโภคเป็นอาหารนั้น พอจำแนกได้เป็น 2 พวกคือ หอยนางรมพันธุ์เล็ก ซึ่งมีชื่อเรียกตามพื้นบ้านว่าหอยปากจีบ หอยเจาะ หรือหอยอีรม เป็นต้น ส่วนหอยนางรมอีกพวกหนึ่งคือ หอยนางรมพันธุ์ใหญ่ ได้แก่ หอยตะโกรมกรามขาว และหอยตะโกรมกรามดำนั่นเอง การเลี้ยงหอยนางรมได้มีการเลี้ยงมานานกว่า 50 ปี ส่วนมากเป็นการเลี้ยงแบบดั้งเดิม พบว่าแถบชายฝั่งทะเลของประเทศไทยทางภาคตะวันออกได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราดมีการเลี้ยงหอยนางรมขนาดเล็กกันมาก สำหรับฝั่งอ่าวไทยได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานีและนราธิวาสจะมีการเลี้ยงทั้งหอยนางรมพันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่แต่ที่พบทางภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันจะมีการเลี้ยงหอยตะโกรมกรามดำและหอยตะโกรมกรามขาวกันมากในเขตพื้นที่โดยเฉพาะจังหวัดระนองและพังงา

ตัวอย่างฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมในประเทศไทย
ขยาย
ตัวอย่างฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมในประเทศไทย

[แก้] การเลือกพื้นที่สำหรับการเลี้ยงหหอยนางรม

ทำเลพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นบ้างปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการเลี้ยงหอยนางรมหลักเกณฑ์เบื้องต้นที่จะต้องพิจารณาซึ่งมีเหตุผลและความเหมาะสมดังนี้ คือ

  1. ควรเป็นแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำทะเลท่วมถึง อย่างน้อยเป็นเวลานาน 7-8 เดือน/ปี ไม่อยู่ในอิทธิพลของน้ำจืดไหล่ท่วมในฤดูฝน จนมีผลให้แหล่งน้ำเลี้ยงมีความเค็มต่ำมาก เป็นเวลานาน ซึ่งจะมีผลให้มีอัตราการตายสูง
  2. ควรเป็นแหล่งน้ำที่มีหอยเกิดตามธรรมชาติ สะดวกต่อการจัดหาพันธุ์หอย เพื่อความสะดวกและลดต้นทุนการเลี้ยง
  3. แหล่งน้ำที่ใช้เลี้ยงควรปลอดภัยจากกระแสน้ำและคลื่นลมแรง ที่อาจทำให้วัสดุและส่วนประกอบต่างๆ ตลอดจนหอยที่เลี้ยงถูกทำลายเสียหายได้
  4. แหล่งเลี้ยงควรอยู่ห่างไกลจากโรงงานอุตสาหกรรมเหมืองแร่อันก่อให้เกิดมลพิษที่เป็นอันตรายกับหอยและผู้ที่บริโภคหอย
  5. ควรเป็นแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลผ่านและเป็นน้ำที่อุดมด้วยอาหารธรรมชาติ กระแสน้ำควรมีความเร็วโดยทั่วไปประมาณ 1 เมตร/วินาที
  6. ควรเป็นแหล่งน้ำตื้น สภาพเป็นดินโคลนหรือโคลนปนทราย ความลึกของหน้าดินไม่มากนัก
  7. ควรเป็นพื้นที่ที่สะดวกต่อการจัดหาวัสดุในการเลี้ยงหอยได้โดยง่าย
  8. ควรเป็นพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวก ใกล้ตลาด ง่ายต่อการจำหน่ายผลลผลิต

[แก้] ข้อควรระวังในการเลี้ยงหอยนางรม

  1. ปัญหามรสุมและคลื่นลมแรงเป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงหอย เพราะวัสดุที่วางหักล้มจมโคลน ทำให้หอยตาย
  2. ควรตรวจและซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงหอยที่ชำรุดอย่างสม่ำเสมอ
  3. ควรระมัดระวังสภาพของแหล่งน้ำที่เสื่อมโทรม ซึ่งนับวันจะมีมากขึ้นย่อมจะกระทบต่อการผลผลิตหอยที่จะลดลงเรื่อยๆ
  4. ปัญหาแหล่งน้ำตื้นเขิน เกิดตะกอนดินมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและหอยตายในที่สุด
  5. มักจะมีสัตว์น้ำที่แย่งอาหารและที่อยู่ของหอยนางรม
  6. ปัญหาการลักขโมยหลักหอยมักจะเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการจัดที่พักหรือขนำให้คนเฝ้าดู
  7. ควรระวังศัตรูหอยนางรมหลายชนิดที่สำคัญได้แก่ หอยหมู หอยมะระ ู ปลาดาว ปลากระเบน และนกบางชนิด เป็นต้น
  8. สิ่งปนเปื้อนในหอยที่มักพบว่ามีปัญหาเสมอได้แก่ปริมาณแบคทีเรียต่างๆที่มีการเกินกำหนด ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดหรือบำบัดสิ่งปนเปื้อนในตัวหอยดังกล่าวให้ปลอดภัยต่อการบริโภค

[แก้] การรวบรวมพันธุ์หอยสำหรับการเลี้ยง

การเลี้ยงหอยนางรมในประเทศไทยยังต้องพึ่งพาลูกหอยจากธรรมชาติ เนื่องจากลูกหอยที่ได้จากการเพาะพันธ์ยังไม่เพียงพอการล่อลูกหอยในแต่ละแหล่งเลี้ยงต้องขึ้นอยูกั่บความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ ความสะดวกในการจัดหาวัสดุ และการจัดการแปลงเลี้ยงเป็นตัวกำหนดวัสดุที่นิยมใช้ ได้แก่ ไม้ไผ่ ไม้เป้ง ก้อนหิน หลอดซีเมนต ์ เปลือกหอยนางรม ยางรถยนต์ แผ่นกระเบื้อง ฯลฯ นอกจากการใช้วัสดุชนิดต่างๆ แล้วการลงเกาะของลูกหอยนางรม ยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำทะเล ความเค็ม ปริมาณแสง การขึ้น-ลงและความเร็วของกระแสน้ำอิทธิพลของดวงจันทร์ ความลึกของน้ำและตัวของวัสดุล่อซึ่งวัสดุที่ใช้ในการล่อนั้นลักษณะของผิว สีและความสะอาดเป็นอย่างไรนอกจากนี้ลูกหอยนางรมยังมีพฤติกรรมในการรวมตัว ลูกหอยมักลงเกาะวัสดุล่อที่มีลูกหอยตัวอื่นๆ เกาะอยู่ก่อนแล้ว ลูกหอยนางรมมักจะเกิดตลอดทั้งปี แต่ส่วนใหญ่ช่วงที่เกิดลูกหอยวัยเกล็ด จะแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่นและลักษณะภูมิประเทศแต่ละแห่ง เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานีเกิดมากในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม จังหวัดตรังในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จังหวัดชลบุรีในช่วงเดือนเมษายน -พฤษภาคม และตุลาคม -พฤศจิกายน ของทุกๆ ปี

[แก้] รูปแบบการเลี้ยงหอยนางรมในประเทศไทย

การเลี้ยงหอยนางรมมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีมีความเหมาะสมตามลักษณะภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศของแต่ละท้องที่ ฉะนั้นการที่จะใช้วิธีใดในท้องที่ไหนนั้นจึงเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเลือกตามความเหมาะสม

[แก้] 1. การเลี้ยงบนก้อนหิน

เป็นวิธีการใช้ก้อนหินวางให้ลูกหอยนางรมเกาะเลี้ยงตัวจนได้ขนาดตามความต้องการ เป็นวิธีที่ง่ายและทำกันมาแต่โบราณ ซึ่งยังนิยมทำกันแพร่หลายมากจนปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะท้องทีที่สามารถหาก้อนหินจากธรรมชาติได้สะดวก โดยวางก้อนหินเป็นกองๆ กองหนึ่งๆ มีก้อนหิน 5-10 ก้อน วางให้ก้อนหินเกยกัน โดยพิจารณาว่าจะวางให้อยู่ในลักษณะใดจึงช่วยให้ก้อนหินมีพื้นที่ให้ลูกหอยเกาะได้มากที่สุด หินแต่ละกองอยู่ห่างกันประมาณ 50 ซม. เรียงเป็นแถว วิธีการนี้มักทำการเลี้ยงหอยในขอบเขตระหว่างแนวระดับน้ำขึ้นสูงสุดถึงระดับต่ำสุดตามชายฝั่งทะเล ที่มีสภาพเป็นอ่าวเปิด พื้นดินเป็นโลนแข่ง ทรายปนโคลนแข็ง หรือบริเวณที่เป็นหินทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ก้อนหินที่วางจมลึกลงไปหรือถูกทับถมในกรณีที่ภสาพดินเป็นโคลนค่อนข้างอ่อนก็ใช้ไม้ไผ่วางเป็นฐานรองรับก้อนหินเพื่อกันมิให้หินจมโคลนหรือบางรายก็ทำเป็นฟาก โดยใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกประกอบเข้าเป็นร้านสำหรับวางหินบนคานเตี้ยๆ ในแหล่งเลี้ยง แล้วใช้ก้อนหินที่มีลูกหอยเกาะวางเลี้ยงต่อไปเพื่อกันโคลนทับถม มักพบเห็นตามบริเวณอ่าวเปิดและปากแม่น้ำลำคลองทั่วๆ ไป รูปแบบการเลี้ยงหอยนางรมวิธีนี้ นิยมใช้ในการเลี้ยงหอยนางรมพันธุ์เล็กที่จังหวัดชลบุรี และที่อ่าวสวี จังหวัดชุมพร

[แก้] 2. การเลี้ยงในกระบะไม้

การเลี้ยงแบบนี้เหมาะสมกับท้องที่ที่เป็นอ่าวเปิดตามบริเวณปากแม่น้ำหรือบริเวณชายฝั่งของปากแม่น้ำลำคลองที่มีน้ำกร่อยหรือน้ำเค็มท่วมถึง เป็นประจำ กระบะไม้ที่ใช้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาดตามความต้องการ แต่ที่นิยมใช้มักจะมีความกว้าง 80 ซม. ยาว 200 ซม. สูง 25 ซม. ขอบทั้งสี่ด้านทำด้วยไม้ตะเคียนหรือไม้เนื้อแข็งอื่นๆ พื้นเป็นไม้ชนิดเดียวกัน ฟากทำด้วยเฝือกไม้ไผ่ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำถ่ายเทได้สะดวก กระบะวางอยู่บนคานสูงจากพื้นดินที่น้ำท่วมถึงประมาณ 30 ซม. และยึดติดกับคานอย่างมั่นคง พันธุ์หอยนางรมที่นำมาใส่เลี้ยงในกระบะหากเป็นหอยพันธุ์เล็กควรมีอายุประมาณ 6-7 เดือน หรือมีขนาด 3.5-4.5 ซม. ซึ่งกะเทาะมาจากก้อนหิน หากเป็นหอยนางรมที่เกาะติดกับเปลือกหอยอื่นก็นำมาใสกระบะเลี้ยงได้เลยทำการเลี้ยงไว้จนมีอายุประมาณปีครึ่งหอยจะโตขึ้นถึงขนาดส่งตลาดได้ สำหรับหอยตะโกรมรวบรวมมาปล่อยเลี้ยงในกระบะเมื่ออายุประมาณ 3-4 เดือน หรือขนาด 3-4 ซม. เลี้ยงไว้จนได้อายุ 7-8 เดือน จะได้ขนาดที่ส่งตลาดได้ วิธีการเลี้ยงบนกระบะไม้เป็นวิธีการเลี้ยงหอยนางรมที่พบว่ามีที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น

[แก้] 3. การเลี้ยงแบบใช้แท่งซีเมนต์

การเลี้ยงด้วยวิธีนี้อาจเลี้ยงได้ดีในที่มีสภาพเช่นเดียวกับการใช้ก้อนหินตามข้อ 1 หรือจะใช้ทั้งสองแบบในบริเวณเดียวกันก็ได้ โดยใช้แท่งซีเมนต์ปักแซมตามที่ว่างระหว่างแถวของกองหิน แต่เว้นที่ว่างเป็นทางเดินได้พอสมควร เหมาะสำหรับท้องที่ที่มีสภาพพื้นดินโคลน แท่งซีเมนต์ที่ใช้นั้น จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อการเลี้ยงหอยนางรม และเพื่อให้ต้านทานต่อการเคลื่อนไหวของคลื่นลมและกระแสน้ำได้ดีจึงต้องหล่อแท่งซีเมนต์และใช้ไม้เป็นแกนกลาง อาจใช้ไม้โกงกางหรือไม้เนื้อแข็งอื่นๆ ก็ได้ ไม้ที่ยื่นออกมาจะถูกปักยึดอยู่ในดินเพื่อพยุงให้เสาซีเมนต์ไม่ล้ม ลงทุนเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้ประโยชน์ได้นานปี ขนาดของแท่งซีเมนต์ขึ้นอยู่กับระดับน้ำและความต้องการของผู้เลี้ยงแต่โดยทั่วไปที่ทำการทดลองแล้วได้รับผลดี มีขนาดความสูง 50-70 ซม. ด้านหน้าตัดของเสาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส 12x12 ตารางเซนติเมตร ไม้ที่ใช้เป็นแกนกลางยาว 1 เมตร ฝังอยู่ในแท่งซีเมนต์ 50 ซม. ส่วนที่ยื่นออกไปเพื่อปักลงไปในดิน 50 ซม.

[แก้] 4. การเลี้ยงโดยใช้หลักไม้

การเลี้ยงด้วยวิธีนี้นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาพชายฝั่งทะเลที่มีสภาพเป็นอ่าวเปิด พื้นดินเป็นโคลนอ่อนหรือโคลนปนทราย เป็นแหล่งที่ไม่มีเครื่องกำบังคลื่นลม ยิ่งไปกว่านั้นวิธีนี้ยังสามารถเลี้ยงตามชายฝั่งของปากแม่น้ำลดคลองที่มีกระแสน้ำไหลค่อนข้างแรงได้โดยไม่ทำให้เกิดความเสียมากนัก ไม้ที่ใช้ควรเป็นไม้เนื้อแข็ง ไม้พังกาหรือสักทะเล เพื่อให้ลูกหอยเกาะเลี้ยงตัวจนได้ขนาดตลาด คล้ายหลักหอยแมลงภู่ หรือจะใช้เปลือกหอยตะโกรมหรือหอยนางรมร้อยเป็นพวงๆ ไปล่อลูกหอยในแหล่งหอยเกิดตามธรรมชาติ ลูกหอยจะเกาติดอยู่ตามเปลือกหอยเมื่ออายุประมาณ 1-2 เดือน จึงนำเปลือกหอยอยู่ห่างกันเป็นระยะพอสมควร หลักไม้ที่ใช้ส่วนมากเป็นไม้ไผ่ ไม้เป้งหรือไม้อื่นๆ ที่มีราคาถูกอาจหาได้ในท้องที่นั้น หลังจากที่ประกอบเปลือกหอยติดเข้ากับหลักไม้แล้ว จากนั้นก็นำไปปักไว้ในแหล่งเลี้ยงเป็นแถวๆ โดยเว้นระยะห่างกันพอสมควร การปักไม้จะลึกลงไปในดินมากน้อยเท่าใดนั้นแล้วแต่ความแข็งของดิน ถ้าเป็นโคลนแข็งปักลึกลงไปเพียง 30-40 ซม. ก็เพียงพอ หากดินเป็นโคลนอ่อนต้องปักลึกจนแน่ใจว่ามั่นคงพอ

[แก้] 5. การใช้หลอดหรือท่อซีเมนต์

เหมาะสมสำหรับแหล่งเลี้ยงที่มีน้ำท่วมอยู่ตลอดเวลาได้แก่ ที่ตื้นชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำลำคลอง และทะเลสาบ พื้นดินเป็นโคลนหรือโคลนอ่อนปนทราย ขั้นแรกต้องปักหลักไม้ราคาถูก ซึ่งอาจหาได้ในท้องที่ได้แก่ ไม้เป้ง โกงกาง หลักไม้ไผ่ ฯลฯ โดยปักเรียงเป็นแถวให้มีช่องว่างระหว่างแถวห่างกันประมาณ 1 เมตร จากนั้นนำหลอดซีเมนต์กลวงที่เตรียมไว้ (หลอดซีเมนต์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 ซม. ยาว 40 ซม. หล่อโดยใช้ปูนซัลเฟตทนเค็ม ติดหอย 20 ตัวต่อหลอดเป็นหอยขนาด 4-5 ซม. นำไปสวมบนหลักไม้หรือท่อพีวีซีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.2 ซม. ยาว 120 ซม. ปักท่อลงในดินเลย แต่ละแถวห่างกัน 30 ซม. แต่ละท่อห่างกัน 20 ซม.) พร้อมกันนั้นใช้ไม้วางพาดเป็นฐานรองรับท่ออีกขั้นหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ท่อจมโคลน หรือเป็นท่อซีเมนต์ที่มีปากเปิดข้างเดียว ก็ใช้สวมลงบนหลักไม้ได้โดยตรง ด้วยวิธีดังกล่าวสามารถวางท่อได้ประมาณ 1,600 ท่อ/ไร่ นอกจากหลอดซีเมนต์ที่ได้กล่าวมาแล้ว ปัจจุบันเกษตรกรได้มีการพัฒนาขยายขนาดหลอดให้ใหญ่ขึ้นมีลักษณะเป็นท่อซีเมนต์เพื่อเพิ่มพื้นที่ยึดเกาะของลูกหอย และใช้ฐานซีเมนต์เพื่อรองรับท่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแทนที่จะใช้ไม้เป็นตัวรองรับเช่นเดิม ทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นและการจัดการสะดวก การเลี้ยงวิธีนี้เป็นที่นิยมในการเลี้ยงหอยนางรมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจันทบุรี

[แก้] 6. การเลี้ยงแบบพวงอุบะแขวน

เป็นรูปแบบการเลี้ยงที่นิยมทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป เพราะหอยโตเร็วและให้ผลผลิตสูง การเลี้ยงวิธีนี้สามารถกระทำได้ 2 ลักษณะด้วยกันคือการแขวนใต้แพ และแขวนจากราวเชือก

จุดสำคัญต้องเลี้ยงในอ่าวปิดหรือที่มีกำบังคลื่นลมได้เป็นอย่างดี ใช้ถังพลาสติกหรือทุ่นโฟมพยุง มีสมอยึดทั้งสี่มุมเพื่อตรึงให้แพหรือเชือกอยู่กับที่ระดับความลึกของน้ำควรอยู่ประมาณ 5-10 เมตร การล่อลูกหอยใช้วิธีเดียวกับการเลี้ยงแบบที่ 4 เมื่อลูกหอยติดกับเปลือกหอยได้แล้ว จึงเอาเปลือกหอยนั้นมาร้อยเป็นพวงโดยใช้ลวดสังกะสีเบอร์ 10 ให้เปลือกอยู่ห่างกันประมาณ 15-20 ซม. โดยใช้ไม้ไผ่รวกขนาดเล็กกั้นระหว่างเปลือก จากนั้นนำพวกหอยไปแขวนไว้ที่แพจนหอยได้ขนาดที่ตลาดต้องการ

การเลี้ยงแบบพวกอุบะแขวนของประเทศไทยนิยมทำกันในแม่น้ำหรือคลองย่านน้ำกร่อย เช่น ที่จังหวัดพังงา หรือการเลี้ยงแบบร้อยเปลือกหอยและแขวนเป็นราวที่ใช้กับหอยตะโกรมกรามดำที่คลองบางนางรม จังหวัดประจวนคีรีขันธ์ เป็นต้น ที่ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีการเลี้ยงหอยนางรมพันธุ์เล็กแบบแขวนใต้นั่งร้านไม้ไผ่ โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงจะซื้อพวกเชือกซึ่งมีลูกหอยขนาดความยาว 1.5-2.6 ซม. ติดอยู่กับวัสดุปูนซีเมนต์ (อยู่บนเชือก) แล้วนำมาเลี้ยงต่อโดยแขวนใต้นั่งร้านไม้ไผ่ขนาด 8x46 เมตร ซึ่งแขวนลูกหอยได้จำนวน 4,500 เส้น มีลูกหอยประมาณ 360,000 ตัวต่อนั่งร้านหนึ่งชุดหรือหนึ่งแผง ปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงหอยนางรมพันธุ์เล็กหรือหอยนางรมปากจีบนั้น พบว่าหอยที่อยู่ตรงกลางแผงหรือกลางนั่งร้านที่ถูกล้อมรอบด้วยแผงอื่นๆ มักจะเจริญเติบโตช้ากว่าลูกหอยที่อยู่รอบนอก เมื่อเลี้ยงไปได้ครบ 1 ปีก็ยังไม่ได้ขนาดตลาด สันนิษฐานว่าหอยที่อยู่ตรงกลางจะได้รับอาหารธรรมชาติจำพวกแพลงก์ตอนไม่เพียงพอ เนื่องจากหอยที่อยู่บริเวณรอบนอกจะกรองกินเอาอาหารจำพวกแพลงก์ตอนไปก่อน

[แก้] 7. การเลี้ยงหอยนางรมแบบอื่นๆ

นอกจากวิธีการเลี้ยงหอยนางรมที่ได้กล่าวถึงข้างต้นแล้วยังมีการเลี้ยงรูปแบบอื่นๆ โดยใช้วัสดุการเลี้ยงรูปแบบอื่นที่มีสภาพแข็งแน่นเพื่อการนี้ได้ เช่นยางรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว กระเบื้องลอนเดี่ยว ลอนคู่ อิฐ อ่าง ไห ตุ่มที่ชำรุดแล้ว นอกจากนี้ในบางประเทศนิยมเลี้ยงหอยนางรมแบบหว่านลงเลี้ยงกับพื้นดิน ในสภาพพื้นดินแข็งเพื่อป้องกันหอยนางรมจมโคลนซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

[แก้] ต้นทุนการเลี้ยงหอยนางรม

ต้นทุนการเลี้ยงหอยนางรมทั้งหอยนางรมพันธุ์เล็กและหอยนางรมพันธุ์ใหญ่ จะขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงเพราะมูลค่าวัสดุที่ใช้สำหรับวางเลี้ยงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการลงทุน ต้นทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงหอยนางรมพันธุ์ใหญ่เฉลี่ยต่อไร่โดยวิธีใช้หลอดซีเมนต์ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมทำกันมากที่สุดในจังหวัดสุราษฎ์ธานีมีรายละเอียดดังนี้

[แก้] ต้นทุนผันแปร

ค่าพันธุ์หอยนางรมราคาตัวละ 5-8 บาท ต่อไร่
800,000
บาท
ปูนซีเมนต์
9,750
บาท
ค่าแรงงาน
10,000
บาท
น้ำมันเชื้อเพลิง
1,000
บาท
ค่าเสียโอกาส
1,000
บาท

[แก้] ต้นทุนคงที่

ไม้ไผ่ปักเขตและปักหลอด
1,000.00
บาท
หลอดซีเมนต์พร้อมหลัก
72,000.00
บาท
ค่าน้ำ (อาชญาบัตร)
80.00
บาท
ค่าเสียโอกาส
1,000.00
บาท
ต้นทุนทั้งหมด
895,770.00
บาท

ต้นทุนเฉลี่ยต่อตัว
5.50
บาท
รายได้ที่ได้รับเกษตรกรจะขายได้ 10-20 บาท/ตัว
1,600,000-3,000,300
บาท
กำไรที่ได้รับต่อตัว
4.50-9.50
บาท
กำไรที่ได้รับต่อไร
360,000.00
บาท/ไร่/ปี

ต้นทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงหอยนางรมพันธุ์เล็กแบบแขวนใต้แพซึ่งเป็นวิธีที่นิยมทำกันมากที่จังหวัดชลบุรี มีรายละเอียดโดยสังเขปดังนี้

ต้นทุนผันแปร
ต้นทุนค่าไม้ไผ่
20,000
บาทต่อนั่งร้าน 1 แผง
ต้นทุนค่าลูกหอย
9,000
บาท
จำหน่ายผลผลิตได้ 900 กก. ๆ ละ 70 บาท เป็นเงินรวม
63,000
บาท
กำไรต่อนั่งร้าน 1 แผง (ขนาดแผง 6x46 เมตร) = 63,000-29,000
41,000
บาท
กำไรที่ไดรับต่อไร่ (1 ไร่เลี้ยงได้ 3 แผง) = 3x41,000
123,000
บาท