จอห์น เคจ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จอห์น เคจ (John Cage) คีตกวี นักเปียโน นักเขียน และนักปรัชญาทางดนตรีชาวอเมริกัน เกิดที่เมือง ลอสแองเจลิส เมื่อปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) เสียชีวิตที่เมือง นิวยอร์ก ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992)
เป็นคีตกวีที่มีบทบาทสำคัญในช่วงหหลังสงครามโลกครั้งที่สองของอเมริกา ท่านมีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดที่สำคัญทางดนตรีในศตวรรษที่ 20 อยู่หลายสายเช่น ทางสายดนตรี "อวองการ์ด" (Avantgarde) ที่ทางฝั่งยุโรปมีผู้นำอย่าง "คาร์ลไฮนซ์ สต็อกเฮาเซน" (Karlheinz Stockhausen [1928-]) และ "ปิแอร์ บูเลซ" (Pierre Boulez [1925-]) สายดนตรีแบบ "แนวคิดนิยม" (Conceptualism) รวมถึงสายดนตรี "มินิมัลิลิซม์" (Minimalism) ที่เกิดขึ้นในอเมริการาวคริสทศวรรษที่ 1970 ด้วย
สารบัญ |
[แก้] ชีวประวัติและผลงาน
ศึกษาดนตรีกับ อาร์โนลด์ เชินแบร์ก (Arnold Schoenberg [1874-1951]) และ เฮนรี คาวเวล (Henry Cowell [1897-1965]) ซึ่งมีอิทธิพลต่องานของท่านในช่วงทศวรรษที่ 1930
[แก้] งานดุริยนิพนธ์ในช่วงแรก
งานดุริยนิพนธ์ในช่วงแรกของท่านมีพื้นฐานมาจากการจัดวางระดับเสียงในบันไดเสียงโครมาติก หลังจากที่ท่านสังเกตเห็น เฮนรี คาวเวล นำอุปกรณ์พิเศษต่าง ๆ (เช่น คลิปหนีปกระดาษ ยางลบ ตะปู ฯลฯ) ไปวาง เสียบ หรือสอดระหว่างสายของ เปียโน เพื่อสร้างสีเสียง (timbre หรือ tone color) ที่ีไม่เคยมีมาก่อนขึ้นนั้น ท่านก็หันมาสนใจในเปียโนพิเศษนี้ ซึ่งเรียกกันว่า prepared piano หรือเปียโนที่เตรียมแล้ว (เปียโนแปลง) ท่านประพันธ์งานโดยใช้เปียโนดังกล่าวในงานที่ชื่อว่า "บัคคานาล" (Bacchanale-1938) ให้กับ ซิลวิลลา ฟอร์ท (Sylvilla Fort [1917-75]) โดยใช้แทนกลุ่มเครื่องเพอร์คัสชั่น ซึ่งทำให้ prepared piano กลายสภาพไปเป็นวงเพอร์คัสชั่นที่บรรเลงโดยคน ๆ เดียว ต่อจากนั้นประพันธ์ "เมตามอร์โฟซิส" (Metamorphosis-1938) และงานชิ้นสำคัญที่นำชื่อเสียงมาให้ท่านในช่วงแรกนี้ก็คือ "โซนาตาและอินเทอลูด" สำหรับเปียโนแปลง (Sonatas and Interludes for prepared piano [1946-48]) จำนวน 20 บท (โซนาตา 16 บท และ อินเทอลูด 4 บท) ในบทเพลงนี้ เคจได้บันทึกวิธีการแปลงเสียงของเปียโนจำนวน 45 เสียงเอาไว้เพื่อสร้างเเสียงที่มีลักษณะอย่างเพอร์คัสชั่นแบบใหม่ขึ้น ท่านใช้ชุดของตัวเลขเพื่อที่จะกำหนดจังหวะในหลายบทเพลงของงานชุดนี้ โดยตั้งใจให้เพลงทุกบทในชุดแสดงแนวคิดเรื่อง "อารมณ์เดียวโดยตลอด" ซึ่งท่านได้รับอิทธิพลจากดนตรีอินเดีย โดยมีอารมณ์เช่น เจ็บปวด ยิ้มหัว วีรบุรุษ สงบ ฯลฯ ท่านใช้ตารางเมทริกซ์ ในการคำนวนความยาวของบทเพลงซึ่งส่งผลให้เกิดเอกภาพในงานโดยรวมและทำให้เลี่ยงจังหวะแบบปกติหรือที่เรียกว่า "เรกูลา ริทึม" (regular rhythm) ไปได้ (จังหวะไม่ปกติ เรียกว่า "อิเรกูลา ริทึม" (irregular rhythm)) ซึ่งทำให้บทเพลงมีความลื่นไหลปราศจากการถูกบังคับโดยเส้นกั้นห้อง งานในช่วงแรกอื่น ๆ ก็มี "สตริงควอเต็ทอินโฟร์พาร์ท" (String Quartet in Four Parts [1950]) และ "คอนแชร์โตสำหรับเปียโนแปลงและวงดุริยางค์เชมเบอร์ที่ประกอบด้วยนักดนตรีเดี่ยว 22 คน" (Concerto for prepared piano and chamber orchestra of 22 soloists [1951])
[แก้] ช่วงที่สอง
ในระหว่างนั้นท่านก็ได้ศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนและตัดสินใจที่จะถ่ายทอดแนวคิดเซนเรื่อง "จิตว่าง" ออกมาเป็นดนตรี หลังความพยายามอย่างยิ่งยวดท่านก็ได้ประพันธ์ "อิเมจิแนรี แลนด์สเคป หมายเลข 4" (Imaginary Landscape No. 4 [1951]) สำหรับวิทยุ 12 เครื่อง และ "มิวสิค อออฟ เชนช์" (Music of Change [1951]) สำหรับเปียโนจำนวน 4 เล่มด้วยกัน งานทั้งสองชิ้นเป็นการนำปรัชญาเซนมาแปลงให้เป็นดนตรี โดยมีเครื่องมือเป็นตำราเกี่ยวกับการทำนายของจีนโบราณที่ชื่อว่า "อี้จิง" คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง และเหรียญที่ใช้ในการทอย 3 เหรียญ ผลที่ได้นั้นก็คือ บทเพลงทั้งหมดถูกกำหนดโดยโอกาสในการทอยเหรียญซึ่งมีผลในแต่ละครั้งตรงกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์อี้จิง สัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้น เคจได้นำมาจัดระบบให้ตรงกับองค์ประกอบต่าง ๆ ทางดนตรี ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียง ความสั้นยาวของจังหวะ ความดัง ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันเรียกวิธีการปประพันธ์แบบนี้ว่า "อินดีเทอมิเนซี" (Indeterminacy) คีตกวีบางท่านเรียกวิธีการแบบนี้ว่า "อะเลียโทรี" (Aleatory) ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า alea แปลว่า ลูกเต๋า งานที่มีชื่อมากที่สุดในช่วงนี้มีชื่อว่า 4'33" (1952) เป็นบทเพลงที่เทคนิคในช่วงที่สองได้พัฒนาไปจนถึงจุดขอบ เพราะเพลงดังกล่าวไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากผู้เล่น (อย่างน้อยก็ในความหมายของการบรรเลงดนตรีแบบเดิม) ในโน้ตเพลงจะประกอบด้วยสามกระบวน (movement) ทุกกระบวนจะบันทึกไว้ว่า tacet ซึ่งแปลว่าเงียบ นักดนตรี (คนเดียวหรือหหลายคน) จะนั่งเงียบ ๆ บนเวทีเป็นเวลา 4 นาที 33 วินาที เคจกล่าวว่าท่าน "คาดหวังให้ผู้ฟังฟังเสียงทุกเสียงที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่กำหนดอย่างตั้งอกตั้งใจ"
ในช่วงปี ค.ศ. 1951 นั้น วลาดิมีร์ อูซาเชฟสกี (1911-90) ได้ทดลองใช้ดนตรีไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคจก็เช่นกัน ท่านสนใจการสร้างงานต่าง ๆ บนเทปแแม่เหล็กและประยุกต์เอาวิธีการแแบบ อะเลียโทรี ที่ได้กล่าวไปแล้วมาประพันธ์งานที่ชื่อว่า อิแมจิแนรี แลนด์สเคป หรือ ทิวทัศน์ในจินตนาการ หมายเลข 5 (Imaginary Landscape No. 5[1952]) และงานที่ชื่อว่า วิลเลียม มิกซ์ (William Mix [1952]) งานอย่าง อิแมจิแนรี แลนด์สเคป หมายเลข 5 เสียงวัตถุดิบประกอบด้วยเสียงอะไรก็ได้ที่บันทึกมาจำนวน 42 ชิ้น ใน วิลเลียม มิกซ์ นั้นประกอบด้วยเสียงหกปประเภทเช่น "เสียงของเมือง" "เสียงของชนบท" "เสียงที่เกิดจากลม" เป็นต้น เคจใช้เทปในการประกอบเสียงเข้าด้วยกันแบบตัดแปะหรือที่เรียกว่า คอลลาจ (Collage) ในขณะที่ อูซาเชฟฟสกี จะแปลงเสียงที่ได้มานอกเหนือจากบันทึกแล้ว
นวัตกรรมต่อไปของเคจก็คือ "แฮพเพนนิง" หรือการแสดงออกโดยฉับพลันทางศิลปะ ในกรณีของเคจเป็นดนตรี เคจจะสร้างงานจากกิจกรรมหรือการนำเสนอใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นจะต้องเกิดพร้อมกันแต่ต้องไม่สัมพันธ์กัน เคจยังสร้างงานประเภทที่เรียกว่า "ดนตรีละคร" (Theatre Music) เช่นงานอย่าง "Water Music" (1952) ซึ่งในการแสดงต้องมีกิจกรรมที่นักเปียโนแแสดงโดยไม่เกี่ยวข้องกับเปียโน (เทน้ำและเป่านกหวีดที่อยู่ใต้น้ำ เป็นต้น) เหตุการณ์ที่ีปรากฏทางสายตาเป็นสิ่งสำคัญในงานประเภทนี้ แนวความคิดอย่าง "แฮพเพนนิง" นี้เป็นต้นแบบของขบวนการ "ฟลุกซุส" (Fluxus) ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์คช่วงปี ค.ศ. 1960-65 ซึ่งนำเสนอคอนเสิร์ทที่ "ดนตรี" นั้นสร้างจากสิ่งที่ไม่ธรรมดาและมักจะดูตลกขบขัน หัวหอกท่านหนึ่งของขบวนการฟลุกซุสก็คือ จอร์จ เบรคท์ นั้น สร้างงานอย่าง "Drip Music" อันเป็นงานที่ประกอบด้วยการหยดน้ำจากที่ใดที่หนึ่งหนึ่งลงไปยังขวดเก็บน้ำ ลักษณะแบบเดียวกันยังก่อให้เกิดการล้อเลียนในงานของ ลิเกตี (Ligeti [1923*]) อย่าง Poème symphonique สำหรับ เมโทรโนม 100 ตัว อีกด้วย
[แก้] ผลงานบางส่วนของ จอห์น เคจ
[แก้] ออร์เคสตรา
- Concerto for prepared piano and chamber orchestra (1951)
- Concert for Pianoforte (1957-58)
- Atlas Eclipticalis (1961-2)
- 30 Pieces for 5 Orchestras (1981)
[แก้] เพอร์คัสชั่นและเครื่องดนตรีไฟฟ้า
- Construction I in Metal สำหรับวงเพอร์คัสชั่น 6 ชิ้น (1939)
- Imaginary Landscapes
- หมายเลข 1 สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบปรับความเร็วได้ 2 เครื่อง มิวท์เปียโน และฉาบ (1939)
- หมายเลข 2 (มาร์ช) สำหรับวงเพอร์คัสชั่น 5 ชิ้น (1942)
- หมายเลข 3 สำหรับวงเพอร์คัสชั่น 6 ชิ้น (1942)
- หมายเลข 4 (มาร์ช หมายเลข 2) วิทยุ 12 เครื่อง นักดนตรี 24 คนและวาทยากร (1951)
- หมายเลข 5 (1952)
- Speech สำหรับวิทยุ 5 เครื่องและผู้ประกาศข่าว (1955)
- 27'10.554" สำหรับ นักเล่นเพอร์คัสชั่น
[แก้] เชมเบอร์
- 3 pieces for ฟลู้ต สองเลา (1935)
- String Quartet (1950)
- 4'33" (ความเงียบ) สำหรับเครื่องดนตรีิหรือกลุ่มเครื่องดนตรีอะไรก็ได้ (1952)
- HPSCHD สำหรับ ฮาร์พซิคอร์ด 7 หลัง และเครื่องเล่นเทปจำนวน 51 (หรือเท่าไรก็ได้) เครื่อง (1967-9)
[แก้] บรรณานุกรม
- Stolba, K. Maria: The Development of Western Music-A History, second edition, Mcgraw-Hill (1990, 1994)
- Kennedy, Michael: The Oxford Dictionary of Music, Oxford University Press (1985)