นิกายโปรเตสแทนท์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้


สารบัญ

[แก้] เหตุการณ์ก่อนการปฏิรูป

มีเหตุการณ์หลายประการที่เป็นต้นเหตุเกิดการเปลี่ยนแปลง และปฏิรูปศาสนาคริสต์ครั้งใหญ่ในช่วง ศตวรรษที่ 16

1. สถาบันสันตะปาปาตกอยู่ใต้อำนาจของสถาบันกษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศสระหว่าง ค.ศ. 1305-1375 ที่เรียกว่า”การคุมขังแห่งบาบิโลเนีย หรืออาวิญอง ทำให้สถาบันฯเสื่อมอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นชนวนให้ผู้ใฝ่ในศาสนาดิ้นรนที่จะศึกษาถึงแก่นแท้ของคำสอน เกิดเป็นขบวนการการศึกษาภาษาฮีบรูและกรีกโดยมีศูนย์ที่เมืองฟลอเรนซ์ และมีการค้นคว้าศึกษาวิจัยพระคัมภีร์อย่างมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งสัจจะในคำสอน การได้ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองทำให้นักคิดชั้นนำสามารถวิจารณ์โจมตีสถาบันศาสนาได้อย่างเต็มที่

2. การพัฒนาของเทคโนโลยีการพิมพ์ แบบเรียงพิมพ์ทำให้มีการแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาต่างๆ และตีพิมพ์อย่างแพร่หลาย ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาพระคัมภีร์ได้ด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระ สังฆราช หรือที่ประชุมสงฆ์ที่จะวินิจฉัยวางหลักการอย่างไรก็ต้องยอม

a. อีราสมัส (Erasmus ค.ศ. 1466-1563) แปลพระคัมภีร์ฉบับกรีกเพื่อเผยแพร่ทั่วไป

b. สังฆราชซิเมเนส (Ximenes) เป็นผู้ควบคุมจัดทำพระคัมภีร์ฉบับสมรวม (The Polyglot Bible)

3. ในช่วงศตวรรษที่ 14 เรื่อยมา มีการดึงอำนาจที่กระจัดกระจายในหมู่ขุนนางศักดินา กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ โดยได้รับความเชื่อเหลือของกลุ่มชนใหม่ที่มีภูมิกำเนิดนอกสังคมขุนนางศักดินา คือกลุ่มชนที่มีพลังเศรษฐกิจและมีความรู้ความสามารถอันเป็นผลจากความสำเร็จของครอบครัวทางการค้าหรืออุตสาหกรรม กลายเป็นสังคมรัฐประชาชาติ มีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทางการเมืองภายในรัฐ ระหว่างรัฐในยุโรปกับสถาบันสันตะปาปา กลุ่มชนใหม่เหล่านี้ให้การสนับสนุนต่อประมุขการเมืองของรัฐปราบปรามบรรดาขุนนางศักดินาภายในรัฐ และต่อต้านสถาบันสันตะปาปาจากภายนอก กลุ่มชนใหม่นี้เรียกว่าชนชั้นกลางซึ่งประกอบด้วยกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ นายธนาคาร และกลุ่มผู้มีการศึกษา

4. สันตะปาปาในระยะศตวรรษที่ 15-16 ให้ความสำคัญในการประกอบภารกิจทางศาสนาน้อยมาก มีการหมกมุ่นในทางโลกและละเลยหน้าที่รับผิดชอบทางธรรมและพระวินัย มีการขายใบฎีกาไถ่บาป (Sale of Indulgence) และการบูชาอัฐิของนักบุญอย่างงมงาย มีการซื้อขายตำแหน่งพระสมณศักดิ์ มีการอุดหนุนบุคคลในครอบครัวให้ได้รับตำแหน่งสำคัญในศาสนา เช่น พระสันตะปาปาอเลกซานเดอร์ที่ 6 (ค.ศ. 1492-1503) แห่งสกุลเบอร์เจีย พยายามจะสร้างฐานะมั่นคงทางโลกและทรัพย์สินแก่ลูกชายลูกสาวอย่างลับๆ โดยลูกชายคนสำคัญคือ ซีซาเร เบอร์เจีย (ค.ศ. 1476-1507) และให้เมียลับแต่งตัวเป็นชายร่วมขบวนแห่เฉลิมพระเกียรติของพระองค์

5. ในการประชุมคณะสงฆ์สากลแห่งกองสตองซ์(The Constance Council) ค.ศ. 1417 ภายในการนำของจักรพรรดิซิกิสมุนด์(Sigismund ค.ศ. 1410-1437) เปิดเผยหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าเอกสาร”บรรณาการของคอนสแตนติน เป็นเอกสารปลอมที่สถาบันสันตะปาปาจัดทำขึ้นในศตวรรษที่ 8 ทำให้อำนาจของสถาบันศาสนายิ่งเสื่อและสูญเสียความนิยม มีกลุ่มคนเช่น จอห์น วิคลิฟฟ์(John Wyclyffe ค.ศ. 1320-1384) จอห์น ฮัส (John Huss ค.ศ. 1369-1415) และ เวสเซล (Wessl ค.ศ. 1420-1489) โจมตีสถาบันศาสนาจากภายในเพื่อรื้อฟื้นให้สถาบันศาสนากลับเป็นผู้เผยแพร่คำสอนที่แท้จริง ซึ่งถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่มีผลที่ทำให้คนในยุโรปในศตวรรษที่ 15 กล้าก้าวออกมาจากความงมงายของคำสอนที่แหลกเหลว และเคร่งครัดในยุคกลาง ตลอดจนการทำลายบทบาทของสถาบันทางศาสนาในฐานะอุปสรรคสำคัญของความก้าวหน้าทางด้านศิลปะวิทยาการและความคิดที่มีเหตุผล


[แก้] การปฏิรูปศาสนา (The Reformation)

เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 และเสร็จสิ้นลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ. 1648 ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กระแสใหญ่ๆคือ

1. การปฏิรูปภายนอกที่แบ่งศาสนาคริสต์ออกเป็น 2 นิกายคือ โรมันคาธอลิค และโปรแตสแตนท์

2. การปฏิรูปภายใน ที่แก้ไขความเสื่อมโทรมของศาสนา และสถาบันสันตะปาปา เพื่อต่อสู้ไม่ให้ชาวยุโรปหันไปนิยมนิกายโปแตสแตนท์ที่เกิดขึ้นใหม่ โดยการปฏิรูปนั้นเริ่มต้นจากหลายๆทาง


[แก้] จุดเริ่มต้นขบวนการปฏิรูปศาสนา

1. ผลงานวิทยานิพนธ์”เทวนคร”(City of God)ของออกัสตินแห่งเมืองฮิปโปที่เป็นแรงบันดาลใจในหมู่นักปฏิรูป

2. ขบวนการฮัสไซท์ (The Hussites) กลุ่มผู้ติดตามจอห์น ฮัส (John Huss) ชื่อหลักการ Utraquism คือฆราวาสมีสิทธิเช่นเดียวกับสงฆ์ในพิธีรับศิลมหาสนิทที่จะรับทั้งขนมปังและเหล้า โดยในสมัยนั้นฆราวาสจะรับได้เพียงขนมปังและน้ำเท่านั้น ซึ่งเบื้องหลังคือการกดดันให้สถาบันสันตะปาปาและคณะกรรมาธิการศาสนา(Council Authority)ยอมรับว่าทั้งบรรพชิตและฆราวาสนั้นเท่าเทียมกัน และพระคัมภีร์เท่านั้นที่มีอำนาจสูงสุดในศาสนกิจ โดยภายหลังการปฏิรูปศาสนากลุ่มฮัสไซท์ได้เข้ารวมกับพวกติดตามลูเธอร์

3. ขบวนการลอล์ลาร์ด (The Lollard Movement) ของจอห์น วิคลิฟฟ์(John Wycliffe)ที่เน้นการปรับปรุงศาสนาให้เข้ากับความต้องการของสามัญชน เน้นการเทศนาสั่งสอนมากกว่าการรับศีล ต่อต้านการสารภาพบาป การสวดมนต์ให้แก่ผูสิ้นชีวิตแล้ว การเดินทางไปจาริกแสวงบุญ การเชื่อเครื่องรางของขลัง และเริ่มการใช้พระคัมภีร์ไบเบิลที่แปลเป็นภาษาพื้นเมืองเพื่อให้ชาวบ้านได้ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตนเองแทนการพึ่งพิงพระที่ใช้พระคัมภีร์ภาษาละติน โดยขบวนการลอล์ลาร์ดนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการปฏิรูปศาสนาระยะแรกภายใต้มาร์ติน ลูเธอร์

ดังนั้นพบว่าขบวนการปฏิรูปศาสนานั้นได้มีการเริ่มมาจากความไม่พอใจของสงฆ์ที่มีธรรมะ และสามัญชนที่ผิดหวังในสถาบันศาสนา ประกอบกับมีการผันแปรทางการเมือง ทัศนคติทำให้ผู้ที่ปรารถนาจะแก้ไขความเสื่อมในศาสนากล้าที่จะประกาศตนออกจากสถาบันศาสนาโดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อชะตากรรมแบบ”ลอยแพ”ของสังคมในยุคกลางอีกต่อไป


[แก้] มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther 1483-1546)

มาร์ติน ลูเธอร์ เกิดที่เมือง ไอสเลเบน นครแซกโซนี ประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1483 บิดามารดาเป็นคนยากจนและไม่ได้รับศึกษา เมื่อเติบโตขึ้นก็ไม่มีเงินจะให้ลูเธอร์เข้าโรงเรียน ลูเธอร์ต้องเที่ยวร้องเพลงขอทานตามบ้านต่างๆ เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนในโรงเรียน เผอิญมีหญิงมั่งคั่งคนหนึ่งเกิดความเมตตาได้ช่วยเหลือให้เข้าอยู่ในมหาวิทยาลัยเมื่อ ค.ศ. 1500 ลูเธอร์ได้ศึกษาศาสนศาสตร์ วรรณคดี ดนตรี และที่เอาใจใส่มากที่สุดคือกฎหมาย บิดาของลูเธอร์ก็ปรารถนาให้ลูเธอร์เป็นนักกฎหมาย แต่เมื่ออายุ 22 ปีเกิดเหตุการณ์หนึ่งคือเพื่อของลูเธอร์ถูกฆ่าตายในเวลาดวลต่อสู้กับบุคคลหนึ่ง ทำให้ลูเธอร์กลายเป็นคนกลัวผี ขี้ขลาด ต่อมาอีก 2-3 วันลูเธอร์จะเข้าประตูมหาวิทยาลัย ก็เกิดฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่ามาใกล้ๆ ลูเธอร์ได้อธิษฐานว่า ถ้ารอดพ้นไปได้จะบวชเป็นพระ ต่อมาในไม่ช้าในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1505 ลูเธอร์ก็เข้าไปอยู่ในอารามออกัสติเนียน (Augustinian Monastery) ในมหาวิทยาลัยวิตเตนเบิร์ก ตั้งหน้าศึกษาพระคัมภีร์อย่างเอาใจใส่ เป็นคนเฉลียวฉลาด พูดเก่ง จนในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้น

ในปี ค.ศ. 1511 ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาราม ลูเธอร์ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่โรม และได้พบเห็นชีวิตของสันตะปาปาโอ่โถง หรูหราจนเกือบไม่มีกษัตริย์องค์ใดสู้ได้ และเห็นว่าพระไม่ควรดำเนินชีวิตอย่างนั้น

จนในปีค.ศ. 1515 สันตะปาปาเลโอที่ 20 อยากจะสร้างโบสถ์ให้งดงามสมตำแหน่งจึงได้ตั้งบัญญัติใหม่ว่า ถึงแม้จะทำความผิดเป็นอุกฉกรรจ์มหันตโทษเพียงไร ก็สามารถล้างบาปได้โดยซื้อใบฎีกาไถ่บาป และบรรดานายธนาคารทั้งหลายในประเทศต่างๆก็ตกลงเป็นเอเยนต์รับฝากเงินที่คนทั้งหลายจะชำระล้างบาปโดยไม่ต้องส่งไปโรม ลูเธอร์ได้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ และเรียกประชุมผู้รู้ทั้งหลายมาปรึกษา โต้เถียงกับบัญญัติใหม่จนในปีค.ศ. 1917 เดือนตุลาคม ลูเธอร์ได้นำประกาศที่เรียกว่า”วิทยานิพนธ์ 95 เรื่อง” (The 95 Theses) ไปปิดไว้ที่ประตู้หน้าโบสถ์เมืองวิตเตนเบิร์ก ซึ่งมีเนื้อหาประณามการขายใบไถ่บาปของสันตะปาปาและการกระทำที่เหลวแหลกอื่นๆ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1520 ลูเธอร์ได้รับหมาย”ขับออกจากการเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร” (Excommunication) โดยที่ลูเธอร์ต้องออกจากเขตปกครองของจักรพรรดิไปหลบที่วอร์มส์พร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ที่นั่นท่านได้แปลพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเยอรมัน และได้เขียนงานเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆซึ่งมีทั้งมิซซาและศีลศักดิ์สิทธิ์(Sacraments) ซึ่งลูเธอร์ตั้งใจที่จะให้ชาวบ้านซึ่งไม่เข้าใจภาษาละตินสามารถเข้าถึงหลักคำสอนและมีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่างๆได้ ต่อมาภายหลังได้มาติน ลูเธอร์ ได้พบว่านิกายโปรเตสแทนท์ได้แตกออกไปอีกมากมาย แล้วแต่ละนิกายมีแนวทางการปฏิบัติ ข้อความเชื่อหลายๆอย่าง ที่มาติน ลูเธอร์ไม่เห็นด้วย มาติน ลูเธอร์ ได้กล่าวคำขอโทษพระสันตะปาปาหลายๆต่อหลายครั้งในเรื่องที่เขาได้แยกนิกายออกไปมากมายไม่จบสิ้น ก่อนตาย มาติน ลูเธอร์ ได้กลับใจเป็นคาทอลิกอีกครั้ง มีบันทึกไว้ในไดอารี่ส่วนตัวของ มาติน ลูเทอร์ มาติน ลูเธอร์ เคารพแม่พระมารีอาเป็นอย่างมาก


[แก้] ลูเธอร์ได้ตั้งลัทธิลูเธอแรนท์(Lutheranism)

ขึ้นโดยมีหลักการดังนี้

1. ผู้ชอบธรรมจะต้องดำรงชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น(The Just shall live by Faith alone) คือยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์และความรอด เป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ และการไถ่บาปได้มาจากพระเมตตาของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นการต่อต้านความเชื่อของสถาบันสันตะปาปาเกี่ยวกับความจำเป็นของพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อความรอดและการไถ่บาป

2. ผู้ที่เชื่อทุกคนคือผู้รับใช้พระเจ้า(Priesthood of all Believers) คือการยกเลิกนักบวชในศานาว่าเป็นผู้กุมกรรมสิทธิ์ในการติดต่อกับพระเจ้าตามการกล่าวอ้างของสถาบันศาสนา แต่เน้นสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะสามารถมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้าได้

3. เชื่อในคำตรัสของพระเยซูในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ถือว่ามีความหมายยิ่งของศาสนาเพราะเป็นการสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูและมนุษย์

4. สิทธิอำนาจสูงสุดมีสิ่งเดียวคือ”พระวจนะของพระเจ้า” (Word of God) นั่นคือพระวจนะที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล, พระวจนะที่ได้ยินจากคำเทศน์บนธรรมมาสน์ และพระวจนะที่อยู่ในพิธีบัพติสมาและศีลมหาสนิท ดังนั้นจึงเป็นการยกเลิกการยอมรับตามสถาบันสันตะปาปาที่ว่าที่มาแห่งสิทธิอำนาจในศาสนาประกอบด้วยพระคัมภีร์ พิธีกรรม และสถาบันศาสนา คือเป็นการประกาศยกเลิกอำนาจของสันตะปาปานั่นเอง

5. เชื่อในพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจพระองค์ ทำให้มนุษย์ไร้ความหมายที่จะกระทำสิ่งใดด้วยใจอิสระของตนเองเพื่อเปลี่ยนแปลงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้

โดยข้อคิดทั้งหมดนี้ถือเป็นหลักของ”ศาสนาคริสต์ปฏิรูป” (Reformed Church) ซึ่งประกาศเป็นทางการในปี ค.ศ. 1530 ณ การประชุมที่เมืองออกสเบิร์ก (The Diet of Augsburg) ที่แบ่งแยกผู้ติดตามลูเธอร์เป็นนิกายใหม่แยกจากสถาบันศาสนาที่โรม เอกสารรวมความเชื่อนี้เรียกว่าเอกสาร”การสารภาพแห่งเมืองออกสเบิร์ก” (The Confession of Augsburg) ซึ่งเรียกรวมขบวนการปฏิรูปศาสนาที่แยกตัวจากโรมนี้เรียกว่า พวกโปรแตสแตนท์ (The Protestants)

หลังจากการประท้วงดังกล่าวได้ทำให้เกิดคลื่นกระแสการปฏิรูปศาสนาในยุโรปขยายออกไป เริ่มจากในเยอรมันโดยลูเธอร์ ไปสวิสเซอร์แลนด์โดยอูลริค สวิงกลิ(Ulrich Zwingli 1484-1531), ในฝรั่งเศสโดยจอห์น คาลวิน(John Calvin 1509-1564) และกลายเป็นลัทธิCalvinism ซึ่งแพร่หลายอย่างรวดเร็วไปยังเนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม ฮังการี่ สกอตแลนด์ และโปแลนด์ ในประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8(1509-1547) ซึ่งประสงค์จะหย่าจากพระมเหสีเพื่อจะอภิเษกสมรสกับคนใหม่ เพราะคนเดิมไม่สามารถมีพระโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ แต่พระสันตะปาปาไม่อนุญาตให้หย่า อังกฤษยึงแยกจากโรมนับแต่นั้นโดยตั้งองค์การขึ้นมาใหม่เรียกว่า”Church of England” ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งประมุขเสียเอง ซึ่งลักธิอังกลิกัน(Anglicanism) นี้ยังคงรักษาหลักสำคัญบางประการของคาธอลิคไว้เพียงแต่ไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของสันตะปาปาเท่านั้น


[แก้] ผลของการปฏิรูปศาสนา

1. ทางการเมือง การปฏิรูปศาสนาได้ทำให้พวกที่ไม่ต้องการระเบียบแบบแผนและพวกที่มีความคิดเห็นรุนแรงทางศาสนาก่อการจลาจลวุ่นวายขึ้นเรียกว่า”กบฏชาวนา”ในปี ค.ศ.1525 ที่โบฮีเมีย มีทั้งกลุ่มอัศวินต่อสู้กับเจ้านายของตน และพวกชาวนาที่ก่อการปฏิวัติต่อเจ้าของที่ดินโดยต่างยื่นข้อเสนอเรียกร้องสิทธิของตนและกำหนดกฎเกณฑ์เอาตามใจชอบ บ้างก็ขอเสรีภาพในการถือศาสนา ดังนั้นลูเธอร์จึงได้ลุกขึ้นมาสอนให้ประชาชนเคารพประมุขและกฎหมายของรัฐ และต่อต้านการจลาจล โดยถือว่าประมุขของรัฐมีอำนาจอันชอบธรรมในสายตาของศาสนาที่จะดำเนินการเด็ดขาดกับขบวนการเหล่านี้ เพราะฉะนั้นคำสอนของลักธิลูเธอแรนท์ส่งเสริมอำนาจชนชั้นปกครอง

2. ทางศาสนา เกิดการปฏิรูปศาสนาไปทั่วยุโรปโดยแบ่งออกเป็น - แยกนิกายเป็น โปรแตสแตนท์และโรมันคาธอลิค - การปฏิรูปภายในนิกายโรมันคาธอลิคเอง เช่นเกิดคณะเยซูอิด(The Jesuits)ที่เน้นการศึกษาวิทยาการใหม่เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม, การประชุมแห่งเมืองเทรนต์(Council of Trent 1545-1563) ซึ่งต้องการแก้ไขข้อติดเตียนของขบวนการปฏิรูปศาสนาโปรแตสแตนท์ทั้งหมด แต่ยังเชื่อว่าสิทธิอำนาจมาจากพระคัมภีร์และขนบธรรมเนียมต่างๆที่โบสถ์ได้รับสืบทอดมาจากเปโตร และยอมรับอำนาจของสันตะปาปาว่ายังมีอยู่ ผลการปฏิรูปนิกายโรมันคาทอลิคทำให้สามารถป้องการการขยายตัวของความนิยมในนิกายโปรแตสแตนท์อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าสันตะปาปาต้องเสียอำนาจในยุโรปไปมาก แต่ก็ยังสามารถรักษาอิทธิพลทางจิตใจเหนือประชากรจำนวนมากของโลกตะวันตกไว้ได้ และสามารถฟื้นฟูความศักดิ์สิทธิของโรมได้จนถึงปัจจุบัน

    • นิกายโปรเตสแทนท์มีข้อความเชื่อที่แตกต่างกับข้อความเชื่อของคาทอลิกและออโธดอกซ์เกือบจะสิ้นเชิง โปรเตสแทนท์แต่ละสายแต่ละโบสถ์ จะมีข้อความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติต่างกันไป