มิดเดิลเอิร์ธ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มิดเดิลเอิร์ธ หรือ มัจฉิมโลก เป็นศัพท์ทางประวัติศาสตร์ มันแปลตามเนื้อตวามของคำ ภาษาอังกฤษเก่า middangeard อันหมายถึงโลกแห่งความเป็นจริง คือ ดินแดนที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้ ในความหมายที่เป็นทางการน้อยกว่า คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" มักหมายถึงดินแดนที่่ตั้งเรื่องของ เจ อาร์ อาร์ โทลคีน
โทลคีนบอกว่ามิดเดิลเอิร์ธของเขานั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยปลาย ยุคที่สาม นั้นอยู่ที่ประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน[1] เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเล",[2] ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน (ใน โลกยุคเก่า).
ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ถูกแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ยุค ฮอบบิท และเรื่องราวหลักของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับเหตุการณ์สู่ปลาย ยุคที่สาม และสรุปถึงความรุ่งโรจน์ของ ยุคที่สี่ ในขณะที่ The Silmarillion เกี่ยวข้องกับ ยุคที่หนึ่ง เป็นส่วนใหญ่
สารบัญ |
[แก้] แนวคิดแรกเริ่ม
ในตำนาน Germanic โบราณและ นอร์ส เอกภพถูกเชื่อว่าประกอบด้วย "โลก" กายภาพจำนวนเก้าโลกเชื่อมต่อกัน การจัดเรียงโลกเหล่านี้ไม่แน่นอน ตามมุมมองหนึ่ง โลกทั้งเจ็ดวางตัวบนทะเลที่รายล้อม ได้แก่ ดินแดนของเอลฟ์ (Alfheim) คนแคระ {Niðavellir) พระเจ้า (Asgard กับ Vanaheim) และยักษ์ (Jotunheim กับ Muspelheim) นักปราชญ์นอร์สคนอื่่นตั้งโลกทั้งเจ็ดนี้บนท้องฟ้า บนกิ่งก้านของ Yggdrasil "โลกต้นแอช" ในอีกกรณีหนึ่ง โลกของมนุษย์ (รู้จักในหลาย ๆ ชื่อ เช่นMidgard, Middenheim, และมิดเดิลเอิร์ธ) วางตัวอยู่ ณ ศูนย์กลางของเอกภพ ในขณะที่ Bifröst สะพานสายรุ้งนั้นเชื่อมจากมิดเดิลเอิร์ธไปยัง Asgard Hel ดินแดนแห่งความตายตั้งอยู่ใต้มิดเดิลเอิร์ธ ด้วยแนวคิดนี้ "โลก" คล้ายกับแผ่นดินแม่แห่งเผ่าพันธุ์มากกว่าโลกที่แยกจากกันในเชิงภายภาพ
[แก้] นิรุกติศาสตร์
คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" ไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยโทลคีนแต่เป็นรูปภาษาอังกฤษยุคใหม่ของคำ อังกฤษยุคกลาง middel-erde ซึ่งพัฒนามาอีกทีจากคำ อังกฤษยุคเก่า middanġeard (เสียง "g" soft เช่น "yard"[3])[4].
Middangeard สืบทอดมาจากคำภาษา Germanic ในยุคก่อนหน้าและมี รากศัพท์ ในภาษาซึ่งสัมพันธ์กับภาษาอังกฤษยุคเก่า เช่น คำภาษา นอร์สยุคเก่าMiðgarðr จาก ตำนานนอร์ส ซึ่งถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษว่า Midgard
ในช่วง อังกฤษยุคเก่า middangeard ถูกเขียนเป็น middellærd, midden-erde หรือ middel-erde ความแตกต่างเล็กน้อยในการสะกดแต่ไม่เปลี่ยนความหมายทั่วไป ได้แทนที่เป็น middangeard ที่มีมีความหมายจริง ๆ ว่า "middle enclosure" แทนที่จะเป็น "middle-earth".[5] อย่างไรก็ตาม middangeard ยังคงแปลโดยทั่วไปว่าคือ "middle-earth"
แนวคิดของ middangeard ถูกพิจารณาโดยโทลคีนเหมือนกับการใช้โดยเฉพาะของคำ ภาษากรีก ว่า แม่แบบ:Polytonic - oikoumenē (จากที่เราได้คำว่า ecumenical) ในการใช้คำเช่นนี้ โทลคีนกล่าวว่า oikoumenē คือ "ที่พักอาศัยของมนุษย์"[6]; by this he means it is the physical world in which man lives out his life and destiny, as opposed to the unseen worlds, for example Heaven or Hell.
โทลคีนพบคำว่า middangeard ในส่วนหนึ่งของบทกวีภาษาอังกฤษยุคเก่าที่เขาศึกษาเมื่อ ค.ศ. 1914:
-
- éala éarendel engla beorhtast / ofer middangeard monnum sended.
- โอ เออาเรนเดล สว่างเหนือปวงเทวา / เหนือถิ่นหล้ามิดเดิ้ลเอิร์ธสู่มวลมนุษย์
ข้อความนี้มาจากส่วนที่สองของบทกวี Crist โดย Cynewulf ชื่อ เออาเรนเดล เป็นแรงบันดาลใจให้โทลคีนสร้างนักเดินเรือ เออาเรนดิล.[7] In Tolkien's stories of the First Age of his world, Eärendil set sail from the lands of Middle-earth to ask for aid from the angelic powers, the Valar. He was later raised by the Valar into the skies, and set to sail in his ship Vingilot as a star and bright beacon of hope for Men and Elves in Middle-earth.[8] Tolkien's earliest poem about Eärendil, from 1914, the same year he read the Crist poems, refers to "the mid-world's rim".[9]
อย่างไรก็ตาม คำว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธไม่ได้ใช้ในงานเขียนชิ้นแรกสุดของโทลคีนเกี่ยวกับโลกที่เขาสร้างขึ้น งานเขียนจากต้นคริสตศักราชที่ 1920 และตีพิมพ์ต่อมาใน The Book of Lost Tales (1983-4) แม้กระทั่งใน The Hobbit (1937).[9] โทลคีนเริ่มใช้คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" ในส่วนต่อมาในปีคริสตศักราช 1930 แทนที่คำก่อนหน้าเช่น "Great Lands", "Outer Lands" และ "Hither Lands" ที่เขาเคยใช้บรรยายดินแดนในเรื่องของเขา[9] The term Middle-earth appears in the drafts of The Lord of the Rings, and the first published appearance of the word "Middle-earth" in Tolkien's works is in the Prologue to that work: "...Hobbits had, in fact, lived quietly in Middle-earth for many long years before other folk even became aware of them."[2]
คำว่ามิดเดิลเอิร์ธสามารถนำมาใช้กับทั้งหมดของการสร้างของโทลคีน ดังในชื่อหนังชือเช่น The Complete Guide to Middle-earth, The Road to Middle-earth, The Atlas of Middle-earthและโดยเฉพาะในหนังสือชุด The History of Middle-earth ทั้งหมดนี้ครอบคลุมพื้นที่นอกเหนือจากนิยามทางภูมิศาสตร์ทีี่จำกัดในคำว่า มิดเดิลเอิร์ธ อีกด้วย
คำว่า "Middle-earth" บางครั้งเขียนนำเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เป็น "Middle-Earth"[10] และบางครั้งก็ละเครื่องหมายยัติภังค์ซึ่งผิดไปเช่นกัน เช่น "Middle Earth", "Middle earth" และ "Middleearth"
[แก้] ภูมิศาสตร์
ในส่วนของบริบทโดยรวมใน legendarium ของเขา มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่ง อาร์ดา ที่สร้างขึ้น ซึ่งตัวมันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างที่กว้างใหญ่กว่าที่เรียกว่า Eä
"มิดเดิลเอิร์ธ" ถูกใช้อย่างเจาะจงเพื่อบรรยายดินแดนทางตะวันออกของทะเลใหญ่ (เบเลเกียร์) จึงไม่รวม Aman แต่รวม ฮารัด และดินแดนแห่งความตายอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเรื่องของโทลคีน อย่างไรก็ตามโทลคีนไม่ได้ระบุภูมิศาสตร์สำหรับโลกที่เกี่ยวข้องกับ ตีพิมพ์เป้นแผ่นพับหรือภาพประกอบใน ฮอบบิท ลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน แนวคิดแรกเริ่มของแผนที่ที่ให้ไว้ใน The Silmarillion และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ถูกรวมในหลายเล่ม รวมทั้ง "The First Silmarillion Map" ใน The Shaping of Middle-earth, "The First Map of the Lord of the Rings" ใน The Treason of Isengard, "The Second Map (West)" และ "The Second Map (East)" ใน The War of the Ring และ "The Second Map of Middle-earth west of the Blue Mountains" (รู้จักในชื่อ "The Second Silmarillion Map") ใน The War of the Jewels
ในเรื่องของเขา โทลคีนแปลชื่อ "Middle-earth" เป็น Endor (หรือบางครั้งเป็น Endórë) และ Ennor ใน ภาษาพราย เควนยา และ ซินดาริน ตามลำดับ Endor เดิมเข้าใจว่าทำให้เหมือนกับแผนที่สมมาตรอย่างยิ่ง ซึ่งถูกทำลายโดยเมลคอร์ ความสมมาตรนิยามโดยทวีปย่อยขนาดใหญ่สองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ทางเหนือและอีกส่วนหนึ่งอยู่ทางใต้ ซึ่งแต่ละอันต่างมีเทือกขายาวสองเทือกในเขตตะวันออกและตะวันตก เทือกเขาเหล่านั้นตั้งชื่อตามสี (White Mountains, Blue Mountains, Grey Mountains, และ Red Mountains)
ความขัดแย้งเนื่องจากเมลคอร์ทำให้รูปร่างของแผ่นดินบิดเบี้ยวไป แต่เดิมนั้นมีผืนน้ำในแผ่นดินอันเดียว ณ ตรงกลางของสิ่งที่ถูกตั้งเป็นเกาะแห่ง อัลมาเรน อันเป็นที่ที่วาลาร์อาศัยอยู่ เมื่อเมลคอร์ทำลายตะเกียงของวาลาร์ซึ่งให้แสงสว่างแก่โลก ทะเลขนาดใหญ่สองแห่งก็เกิดขึ้น แต่อัลมาเรนและทะะลสาบของมันถูกทำลาย ทะเลทางเหนือกลายเป็น ทะเลแห่งเฮลคาร์ (เฮลคาร์) ดินแดนทางตะวันตกของ Blue Mountains กลายเป็น Beleriand เมลคอร์ยังสร้าง Misty Mountains ขึ้นมาเพื่อกีดขวางงานของวาลาร์ Oromë เมื่อเขาพยายามล่าสัตว์ร้ายของเมลคอร์ในช่วงยุคแห่งความมืดก่อนการตื่นของ พราย
การต่อสู้อันทารุณในช่วง War of Wrath ระหว่างพันธมิตรแห่งวาลาร์กับกองทัพของเมลคอร์ ณ ปลายยุคแรกนำมาซึ่งการล่มสลายของ Beleriand เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้น ทะเลในแผ่นดินแห่งเฮลคาร์ได้เหือดแห้งไป
โลกส่วนที่ไม่รวมเทหวัตถุที่เกี่ยวข้อง ถูกเรียกโดยโทลคีนว่า "อัมบาร์" ในหลายเล่ม แต่ก็ถูกเรียกเป็น "Imbar" คือที่อยู่อาศัย ในหนังสือยุคหลัง Lord of the Rings จากช่วงเวลาที่ตะเกียงทั้งสองถูกทำลายจนกระทั่งเวลาการตกต่ำของนูเมนอร์ Ambar ถือว่าเป็น "โลกแบนราบ" ที่ดินแดนอยู่อาศัยทั้งหลายวางตัวบนด้านเดียวกันของโลก ภาพสเกตซ์ของเขาแสดงพื้นเหมือนจานสำหรับโลกซึ่งเงยขึ้นไปยังดวงดาว ทวีปตะวันตก คือ อามาน อันเป็นบ้านของวาลาร์ (และ เอลดาร์) ดินแดนตรงกลาง คือ เอนดอร์ ถูกเรียกเป็น มิดเดิลเอิร์ธ และยังเป็นที่ตั้งของเรื่่องราวส่วนใหญ่ของโทลคีน ส่วนดินแดนทางตะวันออกไม่มีใครอาศัยอยู่
เมื่อเมลคอร์วางยาพิษต้นไม้แห่งวาลาร์ทั้งสองและข้ามจากอามานกลับมาสู่เอนดอร์ วาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเป็นวัตถุที่แยกออกมา (จากอัมบาร์) แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดา (ขอบเขตของ บุตรแห่งอิลูวาทาร์) หลายปีหลังจากที่ตีพิมพ์ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่แยกออกมา "Athrabeth Finrod ah Andreth" (ซึ่งเล่าว่าเกิดขึ้นใน Beleriand ช่วง War of the Jewels) โทลคีนเปรียบอาร์ดาเป็นระบบสุริยะ เพราะอาร์ดาในจุดนี้ประกอบด้วยวัตถุบนท้องฟ้ามากกว่าหนึ่งดวง
ตามเนื้อความในทั้ง The Silmarillion และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เมื่อ Ar-Pharazôn บุกรุกอามานเพื่อแย่งความเป็นอมตะจากวาลาร์ พวกเขาประกาศความคุ้มครองโลกและ อิลูวาทาร์ เข้าแทรก ทำลายนูเมนอร์ ย้ายอามาน "จากวงกลมของโลก" และเปลี่ยนรูปอัมบาร์เป็นโลกกลมแบบทุกวันนี้ Akallabêth กล่าวว่าชาวนูเมนอร์ผู้รอดจากการล่มสลายล่องเรือไปตะวันตกให้ไกลสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหาบ้านในยุคโบราณของเขา แต่การเดินทางนั้นนำเขาไปรอบโลกและกลับมาที่จุดเริ่มต้น กล่าวคือ ก่อนจบยุคที่สอง การเปลี่ยนจาก "โลกแบน" เป็น "โลกกลม" ได้สมบูรณ์แล้ว
[แก้] ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธถูกแบ่งออกเป็นสี่ยุค รู้จักกันในนาม ไอนูลินดาเล ยุคแห่งตะเกียง ยุคแห่งต้นไม้ และ ยุคแห่งดวงดาทิตย์
เทพเจ้าสูงสุดแห่งเอกภพของโทลคีนเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ในตอนแรก อิลูวาทาร์ได้สร้างจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ไอนูร์ และได้สอนวิญญาณเหล่านนั้นให้สร้างบทเพลงขึ้น หลังจากที่ไอนูร์ช่ำชองในความสามารถของแต่ละตนแล้ว อิลูวาทาร์ได้สั่งให้พวกไอนูร์สร้างบทเพลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเพลงที่อิลูวาทาร์ประพันธ์ขึ้น ไอนูร์ที่มีพลังสูงสุดคือ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ หรือ "ศัตรูมืด" โดยพวกเอลฟ์) ได้ทำให้เพลงเสียกระบวน อิลูวาทาร์จึงแก้ไขโดยสร้างแนวเพลงที่ปรับปรุงให้ดีเหนือความเข้าใจของไอนูร์ ก้าวย่างแห่งบทเพลงของพวกเขาได้หว่านเมล็ดของประวัติศาสตร์แห่งเเอกภพที่ยังไม่ได้สร้างและผู้ที่จะมาอยู่ ณ ที่นั้น
จากนั้นอิลูวาทาร์จึงหยุดเพลงและเปิดเผยความหมายของบทเพลงแก่ไอนูร์ผ่านการมองเห็น ด้วยทัศนะเหล่านั้น ไอนูร์หลายตนสัมผัสถึงแรงกระตุ้นที่บีบบังคับให้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตรง อิลูวาทาร์จึงสร้าง Eä คือเอกภพและไอนูร์บางตนก็ลงไปในเอกภพเพื่อร่วมในประสบการณ์แห่งเอกภพ แต่เมื่อเข้าไปใน Eä เหล่าไอนูร์พบว่ามันไร้รูปร่างเพราะพวกเขาเข้าไปที่จุดเริ่มต้นของเวลา ไอนูร์จึงรับผิดชอบงานอันยิ่งใหญ่ในช่วง "ยุคแห่งดวงดาว" วาลาร์จึงได้นำผลที่ยังมีชีวิตสองผลสุดท้ายของต้นไม้ทั้งสองและใช้มันสร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดาแต่แยกตัวออกมาจากอัมบาร์ (โลก)
ก่อนจบ ยุคที่สอง เมื่อมนุษย์แห่ง นูเมนอร์ โดยการล่อลวงของเซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ที่มีอำนาจสูงสุดของมอร์กอธ ได้กบฏต่อวาลาร์ อิลูวาทาร์ได้ทำลายนูเมนอร์ และแยก วาลินอร์ ออกจากส่วนที่เหลือของอาร์ดา และสร้างดินแดนใหม่ซึ่งทำให้โลกกลม มีเพียงเอนดอร์ที่ยังคงเป็นโลกเดิม แต่เอนดอร์กลายเป็นยูเรเซียในที่สุด
ยุคแห่งตะเกียงเริ่มต้นสั้น ๆ หลังจาก วาลาร์ เสร็จสิ้นงานในการวางรูปร่างอาร์ดา วาลาร์ไ้ดสร้างตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก วาลาร์ เอาเล ได้สร้างหอคอยขนาดใหญ่ อันหนึ่งอยู่เหนือสุด อีกอันอยู่ใต้สุด และวาลาร์ได้อาศัยอยู่ตรงกลางบนเกาะแห่งอัลมาเรน การทำลายตะเกียงทั้งสองของเมลคอร์ถือเป็นจุดจบของยุคแห่งตะเกียง
หลังจากนั้น ยาวานนา ได้สร้าง Two trees ชื่อว่า Telperion และ Laurelin ในดินแดนแห่งอามาน ต้นไม้ทั้งสองส่องสว่างอามานและปล่อยให้ส่วนที่เหลือของอาร์ดาตกอยู่ในความมืด และ ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก พรายได้ตื่น ข้างทะลสาบ Cuiviénen ในตะวันออกของเอนดอร์และเข้าใกล้วาลาร์ในไม่ช้า พรายหลายตนถูกโน้มน้าวให้รับผิดชอบ Great Journey ทางตะวันตกไปยังอามาน แต่พรายเหล่านั้นไม่สามารถประสบความสำเร็จทั้งหมด (ดู การแบ่งของพราย) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมูพรายและขับการแข่งขันระหว่างเจ้าชายพราย เฟอานอร์ กับ ฟินโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล คืออัญมณีสามตวงที่สร้างโดยเฟอานอร์อันบรรจุแสงแห่งต้นไม้ทั้งสองไว้จากหลังคาโค้งของเขา รวมทั้งทำลายต้นไม้เหล่านั้นด้วย
เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือ โนลดอร์ เพื่อออกจากอามานและไล่ตามเมลคอร์ไปยัง Beleriand รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์ได้นำกลุ่มแรกจากสองกลุ่มของโนลดอร์ กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟินโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ Teleri นามว่า Alqualondë แต่ the Teleri ไม่ยอมให้เรือแก่พวกขาเพื่ือไปยังมิดเดิลเอิร์ธ Kinslaying ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตี the Teleri และขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟินโกลฟินให้ข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่าน Helcaraxë แห่งความตาย (หรือ Grinding Ice) ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและสร้างอาณาจักร เช่นเดียวกับฟินโกลฟินและทายาทของเขา
ยุคแห่งดวงอาทิตย์เริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์และลอยขึ้นเหนืือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง Long Peace เกิดขึ้นเป็นเวลาสี่ร้อยปีโดยในช่วงนั้นมนุษย์กลุ่มแรกได้เข้าไปใน Beleriand โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน เมื่อมอร์กอธเอาชนะ siege of Angband และอาณาจักรของพรายล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยพรายและมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนแห่ง the Edain และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมเลียน ได้ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งจากมงกุฏของมอร์กอธ หลังจากนั้น เบเรนและลูธิเอนตายและได้รับการชุบชีวิตโดยวาลาร์ด้วยความตกลงว่าลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก
ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่ง Nogrod และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ Dior ลูกครึ่งพราย ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง Doriath เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า Dior ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลาย Doriath และฆ่า Dior ใน Kinslaying ครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของ Dior ที่ยังเล็กคือ Elwing ได้หนีไปกับอัญมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ Celegorm, Curufin และ Caranthir ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา
ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกพรายและมนุษย์อิสรชนที่เหลือใน Beleriand ได้ตั้งกลุ่ม ณ ปากแม่น้ำ Sirion ท่ามกลางกลุ่มนั้นมี เออาเรนดิลที่แต่งงานกับ เอลวิง แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่ Kinslaying ครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี
ซิลมาริลถูกครอบครองอีกครั้งด้วยราคาที่แย่ยิ่งเมื่อ Beleriand เองนั้นแตกออกและเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ Maedhros และ Maglor ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ซึ่งได้ชัยชนะ แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ และพวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจเป็นเจ้าของมันและคำสาบานไม่เป็นผล พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน Maedhros โยนซิลมาริลด้วยตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟ ส่วน Maglor โยนซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงพบจุดจบบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล บนพื้นพิภพ และทะเลตามลำดับ
ดังนั้นจึงเริ่ม ยุคที่สอง The Edain ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ตรงตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่พรายจำนวนมากได้รับการต้อนรับสู่ตะวันตก ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าพรายในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในช่างพรายใน Eregion มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเรื่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกพรายเริ่มระมัดระวังแผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอกธำมรงค์ และพวกพรายได้เอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมปณิธานของพวกเขาได้
กษัตริย์ชาวนูเมนอร์คนสุดท้าย Ar-Pharazôn ด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพของเขา เอาชนะแม้กระทั่งเซารอนและจับเขามายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวน เซารอนหลอกลวง Ar-Pharazôn และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามาน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน Undying Lands Amandil หัวหน้าของเหล่าผู้ยังคงเชื่อในวาลาร์และยังจำราชทูตแห่งเออาเรนดิลได้ล่องเรือเพื่อมองหาความเมตตาของวาลาร์ เพื่อแสดงเจตจำนงของเขา เขาจึงล่องเรือครั้งแรกไปทางตะวันออก จากนั้นจึงไปตะวันตกแต่ไม่ได้ยินข่าวอีก ลูกชายของเขา เอเลนดิล และหลานชายของเขา Isildur และ อะนาริออน ยังคงรักษาความเชื่อแยกจากสงครามที่กำลังมาถึงและเตรียมตัวหลบหนีโดยเรือ เมื่อกำลังทหารของกษัตริย์มาถึงอามาน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์มาเข้าแทรกแซง โลกได้เปลี่ยนไป และอามานถูกย้ายออกจากอิมบาร์ จากจุดนั้น มนุษย์ไม่สามารถค้นหาอามานได้อีก แต่พรายผู้มองเส้นทางในเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับเกียรติในการใช้ ถนนตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามาน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขากลับรอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ เซารอนกลับฟื้นขึ้นในไม่ช้า แต่พรายรวมมือกับมนุษย์เพื่อสร้าง ความร่วมมือครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด แหวนวงเดียวของเขาถูกเอาไปโดย Isildur แต่ยังไม่ถูกทำลาย
ยุคที่สาม พบว่ามีความรุ่งเรืองในอำนาจของอาณาจักร์แก่งอาร์นอร์และกอนดอร์ รวมทั้งความตกต่ำ ในช่วงเวลาของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้นรวมทั้งค้นหาแหวนวงเดียวนั้น เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง และได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวน คือ โฟรโด แบกกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง Mount Doom โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น พันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบกกินส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป
จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบในความเป็นใหญ่ของพรายและเริ่มต้นความเป็นใหญ่ของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่มต้น พรายจำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลิมเลือนไป
[แก้] ภาษา
โทลคีนได้ประดิษฐ์ภาษาพรายหลักสองภาษาขึ้นใหม่ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม เควนยา ใช้พูดกันโดย วานยาร์ โนลดอร์ และ Teleri บางส่วน กับ ซินดาริน ใช้พูดกันโดย ซินดาร์ คือพรายผู้อาศัยใน Beleriand (ดูด้านล่าง) ภาษาเหล่านี้สัมพันธ์กัน และรูปแบบ Common Eldarin ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษยังมาพวกเขาถูกตั้งสมมติฐานขึ้น โทลคีนเปรียบเทียบเควนยาเหมือนภาษา ละติน โดยมีซินดารินเป็นภาษาพูดทั่วไป
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในโลก ได้แก่
- Adûnaic – พูดโดย ชาวนูเมนอร์
- Black Speech – ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดย เซารอน สำหรับทาสรับใช้ของเขาในการพูดคุย
- Khuzdûl – พูดโดย คนแคระ
- โรเฮียร์ริก – พูดโดยชาว โรเฮียร์ริม – แทนในลอร์ดออฟเดอะริงส์ด้วย ภาษาอังกฤษเก่า
- เวสทอร์น – 'ภาษาพูดร่วมกัน' – แทนด้วย ภาษาอังกฤษ
- วาลาริน – ภาษาของไอนูร์