คำประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้ |
คำประกาศอิสรภาพของอเมริกัน (AMERICAN DECLARATION OF INDEPENDENCE)
By Thomas Jefferson
ดินแดนที่เป็นของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนี้ แต่เดิม เป็นอาณานิคมของอังกฤษ อยู่ 13 อาณานิคม คือ ในเขตที่เรียกว่า นิวอิงแลนด์ (New England) มี 4 อาณานิคม ได้แก่ นิวแฮมเชียร์ (New Hampshir) แมสซาจูเซตต์ (Massachusetts) โรดไอแลนด์ (Rode Island) และคอนเนคติคัต (Connecticut) ในดินแดนภาคกลาง (middle Region) มี 4 อาณานิคม คือ นิวยอร์ค (New York) นิวเจอร์ซี (New Jersey) เดลาแวร์ (Delaware) และเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ในดินแดนภาคใต้ (South Region) มี 5 อาณานิคม คือ แมรี่แลนด์ (Marryland) เวอร์ยิเนียร์ (Virginia) นอร์ธ คาโรไลนา (North Carolina) เซาธ์ คาโรไลนา (South Carolina) และ ยอร์เจีย
อาณานิคม ทั้ง 13 อาณานิคมนี้ อังกฤษ จัดการปกครอง โดยแต่งตั้ง ผู้ว่าราชการ เป็นผู้ปกครอง อย่างเด็ดขาด ผู้ว่าราชการนี้ ได้รับการแต่งตั้ง โดยตรง จากพระมหากษัตริย์อังกฤษ หรืออาจได้รับ แต่งตั้ง โดยบริษัทอังกฤษ โดยพระบรมราชานุญาต ของพระมหากษัตริย์ อังกฤษ ก็ได้ ผู้ว่าราชการมี 2 ฐานะ คือ เป็นทั้งผู้แทน ของพระมหากษัตริย์อังกฤษ ในอาณานิคม และเป็นหัวหน้า ฝ่ายบริหาร ของอาณานิคม นอกจากนี้ ยังเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารทั้งหมด ในอาณานิคม รวมทั้ง ข้าราชการพลเรือน อาณานิคม มีอำนาจ ออกกฎหมาย เก็บภาษี และมีกองทหาร ของตนเองด้วย
ในศตวรรษที่ 18 รัฐบาลอังกฤษ ได้เข้ามา เกี่ยวข้อง ควบคุม รัฐบาล ในอาณานิคม มากขึ้น โดยจัดตั้ง กองทัพเรือ สร้างป้อม และจัดตั้งกองทัพบก ขึ้นในอาณานิคมต่างๆ ในด้านการค้า รัฐบาลอังกฤษ ก็ออกกฎหมาย เกี่ยวกับการค้า มากขึ้น ในด้านภาษีอากร ก็เก็บภาษีอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษ มีความประสงค์ จะเก็บเงิน มาใช้หนี้สงคราม ซึ่งมีอยู่ อย่างท่วมท้น รัฐบาลอังกฤษ เป็นผู้มีอำนาจเต็ม ในการติดต่อ กับต่างประเทศ ในนามของ อาณานิคม และ รัฐบาล อังกฤษ กำหนด นโยบายทั้ง 13 อาณานิคม จัดตั้งกองทหารร่วมกันขึ้น เพื่อเป็นกำลัง ป้องกันการรุกราน ของชาติอื่น ซึ่งทำให้ อาณานิคม ไม่พอใจ เป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับ ในระยะนั้น อาณานิคมต่างๆ ได้ตั้งฐาน และมีความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ จึงมีความต้องการ เป็นอิสระ จากอังกฤษ ความขัดแย้ง ระหว่างชาวอาณานิคม กับรัฐบาล เพิ่มทวียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการเก็บภาษีอากร ชาวอาณานิคม ยินดี ที่จะให้รัฐบาลอังกฤษ ควบคุมการค้า และการอุตสาหกรรรม แต่ไม่ต้องการ ให้เก็บภาษี
ตั้งแต่ พระเจ้ายอร์จที่ 3 ขึ้นครองราชย์ เมื่อปี ค.ศ. 1760 เป็นต้นมา อังกฤษ เริ่มเก็บภาษี อย่างรุนแรง โดยในปี ค.ศ. 1764 รัฐบาลอังกฤษ ออกหมาย ซึ่งเรียกกันว่า พระราชบัญญัติ น้ำตาล (The Sugar Act) นอกจากนี้ ยังเก็บภาษี สินค้าอื่นๆ เช่น ไหมและเหล้าองุ่น เป็นต้น ต่อจากนั้น รัฐบาล ก็ออกกฎหมาย อีกฉบับหนึ่ง เรียกว่า พระราชบัญญัติ อากรแสตมป์ (The Stamp Act) บังคับให้ปิดอากรแสตมป์ ในเอกสารต่างๆ เช่น เอกสารเกี่ยวกับการค้า การเช่า หนังสือพิมพ์ เป็นต้น การที่รัฐบาลอังกฤษ ออกกฎหมาย เก็บภาษีพิเศษเฉพาะ อย่างมากมายเช่นนี้ ชาวอาณานิคม ทำการคัดค้าน อย่างรุนแรง นักกฎหมาย และสมาชิกสภา อาณานิคม มีความเห็นว่า อำนาจเก็บภาษีเฉพาะอย่างนี้ เป็นอำนาจ ของอาณานิคม รัฐบาลอังกฤษ ไม่มีอำนาจ ที่จะเก็บภาษี เพราะในสภา ของอาณานิคมนั้น มีผู้แทน ของประชาชน อาณานิคมอยู่ พวกอาณานิคม อ้างหลักการ ปกครอง ที่สำคัญว่า "จะเก็บภาษี โดยไม่มีผู้แทน ไม่ได้" (No Taxation without Representation)
เหตุการณ์รุนแรง เกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1775 เมื่อกองทหารอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ ในเมืองบอสตัน ต้องการจะเคลื่อนกำลัง ไปขนอาวุธ ที่คลังแสง ซึ่งตั้งอยู่ ที่หมู่บ้าน คอนคอร์ด มาเก็บไว้ ที่ค่ายทหาร เพราะเกรงว่า ชาวอาณานิคม จะก่อการจลาจล ทำสงคราม กู้เอกราช และก็เป็นไปตามความคาดหมาย ชาวอาณานิคม ได้จับอาวุธ ขึ้นต่อสู้ กับกองทหารอังกฤษ แผ่กระจาย ไปทุกอาณานิคม ผู้แทนอาณานิคม ทั้ง 13 อาณานิคม ได้เปิดประชุมกัน ที่เมืองพิลาเดลเฟีย ทันที และลงมติ แต่งตั้งให้ ยอร์จ วอชิงตัน เป็นแม่ทัพใหญ่ นำทหารต่อสู้กับทหารอังกฤษ ในระหว่างสงครามปีต่อมา ผู้แทน 13 อาณานิคม ได้เปิดประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง ที่เมืองพลาเดลเฟีย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 ที่ประชุม มีมติ เห็นพ้องต้องกันว่า การทำสงครามคราวนี้ ไม่ควรทำสงคราม เพื่อเรียกร้องสิทธิ ความเสมอภาคเท่านั้น แต่ควรทำสงคราม เพื่อประกาศ อิสรภาพ เสียเลย ดังนั้น จึงมีการร่างคำประกาศอิสรภาพ (Declaration of Independence) โดยผู้แทนอาณานิคม ที่มาประชุมทั้ง 13 อาณานิคม ได้ลงนาม ในคำประกาศ ในวันนั้น การมีสภาพ เป็นอาณานิคม ของอังกฤษ ก็สิ้นสุดลง ทางพฤตินัย อเมริกา ยังไม่ได้รับเอกราช โดยสมบูรณ์ จนกระทั่ง ได้มีชัยชนะ เหนืออังกฤษ ในสงครามต่อสู้ เพื่อเอกราช (War of Independence) เมื่อปี ค.ศ. 1781
คำประกาศอิสรภาพ ของอเมริกัน เป็นเอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง ของประวัติศาสตร์ การเมืองอเมริกา เอกสาร ฉบับนี้ ได้แถลงความจริง ในอารัมภบท ตอนหนึ่งว่า "เราถือความจริงเหล่านี้ว่า เป็นสิ่งประจักษ์แจ้ง ด้วยตนเอง กล่าวคือ ทุกคนเกิดมา เท่าเทียมกัน ต่างได้รับสิทธิ บางอย่าง ที่จะโอนให้แก่กัน มิได้จากพระเจ้า สิทธิเหล่านี้ ได้แก่ สิทธิในชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข และเพื่อที่จะให้ได้มา ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้ มนุษย์ จึงได้ตั้งรัฐบาลขึ้น และรัฐบาลนี้ ได้รับมอบอำนาจ จากความยินยอม ของผู้ที่อยู่ในปกครอง ของรัฐบาลนั้น และเมื่อใด รูปการปกครองใด มุ่งทำลายหลักการสำคัญเหล่านี้แล้ว ประชาชน ก็มีสิทธิ ที่จะเปลี่ยนรัฐบาลนั้น หรือยุบเลิก รัฐบาลนั้นเสีย แล้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นแทน ซึ่งวางรากฐาน อยู่บนหลักการ และจัดระเบียบ การใช้อำนาจ ตามรูปดังกล่าวแล้ว เพื่อให้เกิดผล ในการพิทักษ์ ความปลอดภัย และความผาสุก ของประชาชน" เมื่ออาณานิคม มีคำประกาศอิสรภาพ ออกมาแล้ว อาณานิคม ก็เริ่มตัดความสัมพันธ์ ทางการเมือง กับอังกฤษ แต่มิได้กระทำอย่างรุนแรง เพราะผู้นำอาณานิคม บางอาณานิคม ยังเลื่อมใส ในรัฐบาลอังกฤษอยู่ เมื่ออังกฤษ ได้ทราบข่าว การประกาศอิสรภาพ จึงถือว่า การกระทำนั้น เป็นการกบฏ ต่อแผ่นดิน จำต้องปราบ ด้วยกำลังทหาร ซึ่งเป็นผลให้เกิดสงคราม เพื่ออิสรภาพ อเมริกันขึ้น ยอร์จ วอชิงตัน เป็นแม่ทัพใหญ่ ทำการสู้รบ กับอังกฤษ เป็นเวลาเกือบ 7 ปี จึงมีชัยชนะ เด็ดขาด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1781
เมื่อสงครามปฏิวัติ สิ้นสุดลงแล้ว บรรดาผู้แทน อาณานิคม ได้ทำการตกลงกัน เพื่อจัดระเบียบ การปกครอง ในขั้นแรก ที่ประชุม ตกลง จัดการปกครอง แบบสมาพันธรัฐ แต่ภายหลัง ปรากฏว่า เกิดปัญหายุ่งยาก บางประการ ดังนั้น จึงได้มี การประชุม พิจารณา เรื่องรูปการปกครอง อีกครั้งหนึ่ง ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ในปี ค.ศ. 1789 ที่ประชุม ตกลง จะให้มีการปกครอง ตามสหพันธรัฐ โดยให้รัฐต่างๆ มารวมจัดตั้งรัฐบาลกลางขึ้น และตกลง ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น การประชุม ร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งนั้น เรียกว่า The Philadelphia Convention ยอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือก ให้เป็นประธาน ที่ประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อย่างเป็นทางการแล้ว จึงได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้น เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1789 ยอร์จ วอชิงตัน ได้สมัคร เข้ารับเลือกตั้ง และได้เป็นประธานาธิบดีคนแรก ของสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันถือว่า คำประกาศอิสรภาพ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 เป็นแรงบันดาลใจ ให้เข้าต่อสู้ เพื่ออิสรภาพ และเป็นผลให้ ได้สถาปนา สหรัฐอเมริกา เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการสร้างชาติขึ้นใหม่ รัฐบาลอเมริกัน จึงถือเอาวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันชาติ สืบมาจนตราบเท่าทุกวันนี้