ชนชาติฮั่น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชนชาติฮั่น (Han) เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศจีน ผลสำรวจจำนวนประชากรในปลายคริสตศตวรรษที่ 20 พบว่า มีชาวฮั่นราว 1,200 ล้านคนอาศัยในประเทศจีน และนับเป็นกลุ่มชนชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
มีหลักฐานว่าชาวฮั่นถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิหวงตี้ (黄帝) อาศัยอยู่ในแถบดินแดนจงหยวน และกระจายอยู่ทั่วประเทศจีนมายาวนานกว่า 5,000 ปี นับตั้งแต่สมัยเซี่ย ซาง โจว ชุนชิว-จั้นกั๋ว จนมาเริ่มเป็นปึกแผ่นในสมัยฉินและฮั่น สมัยฮั่นนี่เองที่เริ่มมีคำเรียก 'ชนชาติฮั่น' ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อตามแบบลัทธิเต๋า
ชาวฮั่นมีกิจกรรมด้านการเกษตรและหัตถกรรมที่เจริญก้าวหน้า อีกทั้งมีการประดิษฐ์เครื่องสำริด การทักทอ เครื่องเคลือบดินเผา สถาปัตยกรรม และศิลปะการวาดภาพที่เป็นหน้าตาของชนชาติมาตั้งแต่ยุคโบราณ นอกจากนี้ ยังรวมถึงผลงานวรรณกรรมรูปแบบต่า ง ๆที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วด้วย และที่ลืมไม่ได้ก็คือ การเป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่ค้นพบและสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ 4 อย่าง คือ กระดาษ เทคนิคการพิมพ์ เข็มทิศ และดินปืน
บุคคลสำคัญเชื้อสายฮั่นในแผ่นดินจีนไม่ว่าจะเป็นนักทฤษฎี นักปฏิวัติ นักการเมือง กวี ศิลปินต่าง ๆ ที่ถูกจารึกนามในหน้าประวัติศาสตร์จีนและของโลกที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ ดร.ซุนยัตเซ็น เหมาเจ๋อตง โจวเอินไหล หลิวเส้าฉี จูเต๋อ เติ้งเสี่ยวผิง หลู่ซวิ่น ฯลฯ ล้วนเป็นชาวฮั่นที่สร้างคุณูปการต่อลูกหลานชนชาวฮั่นในวันนี้
และยังรวมถึง ขงจื๊อ ปรัชญาเมธีผู้เรืองนามของจีน. เป็นเวลาเนิ่นนานหลายร้อยปี ที่แนวคิดของขงจื๊อซึ่งเป็นรากฐานคุณธรรมคำสอนของชาวฮั่น ได้แผ่อิทธิพลไปทั่วทวีปเอเชีย.
ชาวฮั่นมีวันสำคัญทางประเพณีได้แก่ เทศกาลตรุษจีน เทศกาลหยวนเซียว เช็งเม้ง เทศกาลไหว้พระจันทร์ (จงชิวเจี๋ย) เป็นต้น
ชาวฮั่นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองเรียกว่า ภาษาฮั่น (ฮั่นอี่ว์) มีตัวอักษรเรียกว่า อักษรฮั่น (ฮั่นจื้อ) ซึ่งยังแบ่งเป็นภาษาถิ่นอีกหลายภาษา อาทิ ภาษาถิ่นทางภาคเหนือ (北方话) ภาษากวางตุ้ง (粤语) ภาษาแคะ (客家话) ภาษาถิ่นแถบเซี่ยเหมิน (闽南话) ภาษาถิ่นฮกเกี๊ยน (闽北话) ภาษาถิ่นแถบเซี่ยงไฮ้-เจียงซู-เจ้อเจียง (吴语) ภาษาถิ่นแถบหูหนัน (湘语) และภาษาถิ่นแถบเจียงซี (赣语)
[แก้] บิดาของชาวฮั่นกับชุดประจำชนชาติ
ชุด "จงซัน" (中山装) เป็นชุดที่ได้นามมาจากนักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ของชาวจีน 'ดร. ซุนยัตเซ็น'
ในสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย เป็นยุคสมัยที่สัญญาขายชาติหลายฉบับได้รับการลงนามโดยข้าราชการผู้โกงกินที่สงครามฝิ่นปะทุขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1840 และเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ลัทธิจักรวรรดินิยมยาตราเข้าสู่ดินแดนจงหยวน เมื่อกองทัพทหาร 8 ชาติบุกเข้าประเทศจีนในปี ค.ศ. 1900 และเป็นยุคเข็ญของชาวจีนที่ถูกตราหน้าจากชาวโลกว่าเป็น 'ขี้โรคแห่งเอเชีย' บ้าง 'ทหารผมเปีย' บ้าง หรือแม้แต่ล้อเลียนการแต่งกายชุดยาวกลอมข้อเท้ากับชุดขี่ม้าแบบชาวแมนจู
การรุกรานจากมหาอำนาจตะวันตก ความฟอนเฟะของราชสำนักชิง กอปรกับความอ่อนแอของชาวจีนได้สร้างความคับแค้นใจให้แก่ ดร. ซุน อย่างใหญ่หลวง ท่านได้รวบรวมกลุ่มคนผู้รักชาติขึ้นเพื่อขับไล่ต่างชาติ และปรารถนาที่จักเสริมสร้างความเป็นชาติขึ้นมาใหม่ (อ่านบทความประกอบ 'บุรุษผู้มีคำว่า "ปฏิวัติ" อยู่ในสายเลือด' )
ภายหลังการเสียสละเลือดเนื้อของเหล่าวีรชนทั้งหลาย ชาวจีนก็ประสบชัยชนะสามารถล้มล้างราชสำนักชิงในการปฏิวัติซินไฮ่ (辛亥革命) เมื่อปี ค.ศ. 1911 และก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐ โดยมีท่าน ดร. ซุนยัตเซ็น ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก นับจากนั้น ดร. ซุนได้ริเริ่มระบบการปกครอง ปฏิรูปเศรษฐกิจและกฎหมายต่าง ๆ และให้ตัดหางเปียที่ชาวจีนเคยไว้ออกเสีย ทั้งยังออกแบบชุดประจำชนชาติเสียใหม่ โดยมอบหมายให้ร้านเสื้อที่เซี่ยงไฮ้ (上海亨利西服店) เป็นผู้ตัดเย็บ และให้ชื่อชุดตามชื่อของท่านว่า 'จงซัน' ซึ่งได้กลายเป็นชุดที่ยอมรับในสมัยนั้นว่าเป็นชุดของชนชาวฮั่น
ชุดจงซันนี้ออกแบบโดยรับอิทธิพลมาจากชุดของตะวันตก เสื้อเป็นเสื้อคอปกตั้ง กระดุม 5-7 เม็ด มีกระเป๋า 4 ใบ ทั้งบนล่างซ้ายขวา กระเป๋าล่างขยายได้สามารถใส่หนังสือหรือสิ่งของได้ตามชอบใจ ส่วนกางเกงผ่าด้านหน้ามีกระดุมลับ ด้านข้างซ้ายขวามีกระเป๋าลับ และจับจีบที่เอว
ดร. ซุนเป็นผู้นำการสวมใส่ชุดจงซันนี้ด้วยตัวท่านเองไม่ว่าในโอกาสไหน ๆ และได้รับความนิยมจากชาวฮั่นอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีความเป็นสากล สง่างาม เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย และสวมใส่สะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วัสดุในการตัดเย็บได้หลายแบบเพื่อโอกาสใช้สอยต่าง ๆ กัน
ปัจจุบัน ชุดจงซันยังเป็นชุดทางการที่นิยมในหมู่สุภาพบุรุษนักการเมือง และประชาชนจีนทุกสาขาอาชีพ (สำหรับสตรีนิยมสวมชุดกี่เพ้า (旗袍) ของชาวแมนจู)
