โครงการแกล้งดิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 มีการแนะนำว่า บทความนี้น่าจะรวมเข้ากับ แกล้งดิน (อภิปราย)
บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

ในปีพุทธศักราช 2517 ราษฎรหลายพื้นที่ในจังหวัดนราธิวาส ได้กราบบังคมทูลร้องทุกข์ถึงความเดือดร้อนที่ต้องประสบปัญหา เพราะในช่วงฤดูฝนจะเกิดน้ำท่วมไหลบ่าจากป่าพรุ จนมิอาจทำมาหากินได้ รวมถึงยังมีเกษตรกรอีกจำนวนไม่น้อยขาดแคลนที่ทำมาหากินได้ รวมถึงยังมีเกษตรกรอีกจำนวนไม่น้อยขาดแคลนที่ทำมาหากิน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงพระราชทานความช่วยเหลือตามแนวพระราชดำรัสว่า “...ที่ที่น้ำท่วมหาประโยชน์ไม่ได้ ถ้าเราจะทำให้มันโผล่พ้นน้ำขึ้นมา มีการระบายน้ำออกไปก็จะเกิดประโยชน์กับประชาชนในเรื่องของการทำมาหากินอย่างมหาศาส...”


จากพระราชดำรัสข้างต้นนี้ ทำให้ทุกส่วนราชการเข้ามาร่วมกันพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุ ซึ่งมีน้ำแช่ขังอยู่ตลอดปี ให้นำพื้นที่กลับมาใช้ ให้เกิดประโยชน์ในทางเกษตรกรรมให้ได้มากที่สุด โดยทรงให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อระบบนิเวศน์ของป่าพรุเป็นหลักสำคัญ

ในระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2524 ในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรนั้น ทรงพบว่าหลังจากมีการชักน้ำออกจากพ้นที่พรุเพื่อ จะได้มีพื้นที่ใช้ทำการเกษตร และเป็นการบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นพระจำทุกปีนั้น ปรากฏว่าดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปี้ยว ราษฎรทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล

สาเหตุที่ดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด สืบเนื่องมาจากดินในพื้นที่พรุมีลักษณะเป็นอินทรียวัตถุ หรือซากพืชที่เน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และช่วงระดับความลึก ประมาณ 1-2 เมตร มีลักษณะเป็นดินเลนปนน้ำเค็ม ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่าสารประกอบไพไรท์ จะทำปฏิกิริยากับอากาศปลดปล่อยกรดกำมะถัน ทำให้ดินแปร สภาพเป็นกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด

สาเหตุที่เกิดขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาดินในพื้นที่พรุเป็นไปได้ยากลำบากยิ่ง เพราะเมื่อน้ำออกจากดินพรุ อากาศก็จะลงไปทำปฏิกิริยาในดิน เกิดเป็นกรดขึ้นมา ทำให้เกิดดินเปรี้ยว

แนวทฤษฎีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงอยู่ที่ว่า ถ้าน้ำท่วมดินพรุ ปฏิกิริยาก็จะไม่เกิด ดังนั้นเมื่อพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะให้พื้นที่ ที่น้ำท่วมไร้ประโยชน์นี้แห้ง และราษฎรทำกินได้ ก็ต้องทรงหาทางเอาชนะกับความเปรี้ยวของดินให้ได้

ด้วยเหตุนี้เอง พระราชดำริ “แกล้งดิน” จึงก่อกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน พุทธศักราช 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริความว่า

“...ให้มีการทดลองทำดินให้เปรี้ยวจัด โดยการระบายน้ำให้แห้งและศึกษาวิธีการแก้ดินเปรี้ยว เพื่อนำผลไปแก้ปัญหาดินเปรี้ยวให้แก่ราษฎรที่มีปัญหาเขตจังหวัด นราธิวาส โดยให้ทำโครงการศึกษาทดลองในกำหนด 2 ปี และพืชทำการทดลองควรเป็นข้าว...”

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ทรวงเรียกว่า “แกล้งดิน” มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นหน่วยดำเนินการสนองพระราชดำริ ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดินกำมะถัน เริ่มจากวิธีการ “แกล้งดินให้เปรี้ยว” ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมี ของดินซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารประกอบกำมะถันที่เรียกว่าารประกอบไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ แล้วปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัด จนถึงขั้น “แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด” จนกระทั่งถึงจุดที่พืชเศรษฐกิจต่างๆ ไม่สามารถเจริญงอกงาม ให้ผลผลิตได้ หลังจากนั้นจึงได้หาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าว ให้สามารถ ปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งวิธีการแก้ไขดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดำริ มีดังนี้

วิธีการควบคุมระดับน้ำใต้ดิน

เพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน จึงสมควรพยายามควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลน ที่มีสารประกอบไพไรท์ เพื่อมิให้สารประกอบไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน หรือถูกออกซิไดซ์โดยมีขั้นตอน ดังนี้

เริ่มจากวางระบบการระบายน้ำทั่วทั้งพื้นที่ ต่อจากนั้นระบายน้ำเฉพาะส่วนบนออกเพื่อชะล้างกรด แล้วจึงรักษาระดับน้ำในคูระบายน้ำให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1 เมตร จากผิวดินตลอดทั้งปี การดำเนินการที่จะสัมฤทธิ์สมบูรณ์ได้นั้น ยังจำเป็นต้องมีการวางระบบระบายน้ำ ควบคู่ไปกับการจัดระบบชลประทานที่เหมาะสมด้วย

ระบบการระบายน้ำจะช่วยป้องกันมิให้น้ำท่วม และช่วยระบายน้ำออกจากพื้นที่ ส่วนระบบชลประทานจะช่วยส่งเสริมให้น้ำชะล้างความเป็นกรด และรักษาระดับน้ำ ใต้ดินให้อยู่ในระดับที่ต้องการ

มีตัวอย่างความสำเร็จของวิธีการควบคุมระดับน้ำใต้ดิน ในโครงการพัฒนาลุ่มน้ำบางนราอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งทำการก่อสร้างประตูระบายน้ำปิดกั้นแม่น้ำบางนรา 2 ประตู เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยบริเวณสองฝั่งแม่น้ำ และกักเก็บน้ำจืดไว้ในแม่น้ำเพื่อใช้ในการเกษตร อุปโภคและบริโภค กับช่วยป้องกันมิให้น้ำเค็มจากปากแม่น้ำไหลเข้าไปยัง แม่น้ำส่วนในและในประเด็นที่สำคัญคือ ช่วยควบคุมระดับน้ำใต้ดินในพื้นที่ราบลุ่มสองฝั่งแม่น้ำไม่ให้ลดต่ำลง ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดกรดจากดินเปรี้ยวจัดที่พบอยู่ทั่วๆ ไปในบริเวณที่ราบลุ่ม ของจังหวัดนราธิวาสอีกด้วย

[แก้] อ้างอิง

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมเขต 11 [1]