วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร | ||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลทั่วไป | ||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว | ||||||||||||||||||||||||||||||||
|
วัดพระเชตุพน เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาลในรัชกาลที่ 1 ทั้งยังถือเป็นมหาวิทยาลัย(ทางพฤตินัย)แห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง
สารบัญ |
[แก้] ประวัติ
วัดพระเชตุพนในประวัติการสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ใน พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส” เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร”
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ถือว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล นอกจากนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์ นามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนี้ ปรากฏในประกาศสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2411 ว่า วัดนี้แม้จะมีนามพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แต่ชื่อพระราชทานมีผู้เรียกแต่อยู่ในพระราชวัง คนยังเรียกว่าวัดโพธิ์กันทั้งแผ่นดิน และมีพระราชดำริว่า “ชื่อพระราชทานเป็นชื่อตั้งไม่ปิดไม่แน่นจะคิดแปลงใหม่เห็นจะไม่ชนะ”
[แก้] สิ่งก่อสร้างภายในวัด
วัดพระเชตุพนฯ เป็นวัดที่มีสิ่งก่อสร้างค่อนข้างแน่น เนื่องจากการบูรณะแบบใส่คะแนน (แข่งกันบูรณะ) ส่งผลให้มีอาคารและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพระพุทธรูปมากมายภายในวัดแห่งนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ
[แก้] เขตวัดโพธาราม(เดิม)
เขตวัดโพธารามเดิม คือส่วนตะวันตกของวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่นี้ครอบคลุม วิหารพระนอน ศาลาการเปรียญ(ซึ่งเป็นพระอุโบสถเดิม ของวัดโพธาราม) พระมณฑป และพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล
[แก้] วิหารพระนอน
หรือวิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในคราวที่ทรงโปรดฯให้ขยายพระอารามออกมาทางตะวันตก (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) และทรงบูรณะพระพุทธไสยาสน์ขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ปิดทอง โดยตัววิหารมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ
[แก้] พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล
เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ เดิมทีรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญโกลนพระศรีสรรเพชญุดาญาณ มาจากพระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงประสงค์จะหล่อพระศรีสรรเพชญองค์นี้ขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากทรงปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ได้ทูลถวายว่า การนำโกลนพระศรีสรรเพชญมาหลอมใหม่นั้น ถือเป็นขีด เป็นกาลกิณี ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ แบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญนี้ไว้ และพระราชทานพระนามเจดีย์ว่า เจดีย์พระศรีสรรเพชญุดาญาณ
ต่อมาในรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ทรงมีพระประสงค์ทะนุบำรุงวัดพระเชตุพนด้วยทั้งสองพระองค์ จึงทรงสร้างพระมหาเจดีย์ขนาบข้างกับพระเจดีย์พระศรีสรรเพชญ โดยเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ เหมือนกันทุกประการ ต่างเพียงสีกระเบื้องที่มาประดับเท่านั้น จึงกลายเป็นเป็นเจดีย์สามองค์เรียงกันจากเหนือจรดใต้ เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงเห็นว่า การบูรณะแบบใส่คะแนนนี้ ในกาลต่อไปวัดพระเชตุพนฯคงจะมีแต่เจดีย์เต็มวัดเป็นแน่แท้ จึงทรงโปรดเกล้าให้ถ่ายแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย มาจากวัดสวนหลวงสบสวรรค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาสร้างไว้ทางทิศตะวันตกสุด เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ประดับกระเบื้องสีน้ำเงินคราม และทรงตรัสให้ยุติประเพณีสร้างมหาเจดีย์ในวัดโพธิ์
[แก้] ศาลาการเปรียญ
เดิมเป็นพระอุโบสถของวัดโพธาราม(เดิม) แต่หลังจากสถาปนาพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดพระเชตุพนแล้ว จึงลดฐานะลงเปนศาลาการเปรียญ โดยภายในประดิษฐาน พระพุทธศาสดามหากรุณาธิคุณ เป็นพระประธานในศาลาการเปรียญ
[แก้] เขตพระอุโบสถ
เขตพระอุโบสถเป็นเขตที่สถาปนาขึ้นใหม่นอกเขตวัดโพธารามเดิม สร้างตามคติไตรภูมิ โดยให้พระอุโบสถเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุ และให้วิหารทิศทั้งสี่ เป็นเสมือนทวีปหลักทั้งสี่
[แก้] พระอุโบสถ
ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้า ด้วยประสงค์ตั้งมั่นแน่วแน่ว่า นี่จะเป็นพระนครอย่างถาวร (ปางสมาธิ สื่อถึงการตั้งจิตมั่นแน่วแน่)
[แก้] วิหารทิศ
ส่วนวิหารทิศทั้ง 4 ก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากหัวเมืองมาประดิษฐาน ดังนี้
- วิหารทิศตะวันออก มุขหลัง (หันหน้าเข้าอุโบสถ) ประดิษฐาน พระพุทธโลกนาถศาสดา พระพุทธรูปปางห้ามไม้แก่นจันทน์ อัญเชิญมาจากวิหารพระโลกนาถ ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ (ซึ่งทรุดโทรมไม่มากนัก)
- วิหารทิศตะวันออก มุขหน้า (หันหน้าออกจากพระอุโบสถ) ประดิษฐาน พระมารวิชัย ปางมารวิชัย อัญเชิญมาจากวัดเขาอินทร์ เมืองสวรรคโลก
- วิหารทิศใต้ มุขหน้า ประดิษฐาน พระชินราช ปางมารวิชัย ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดร้างในเมืองสุโขทัย
- วิหารทิศตะวันตก มุขหน้า ประดิษฐาน พระชินสีห์ ปางมารวิชัย อัญเชิญมาพร้อมกับพระชินราช
- วิหารทิศเหนือ มุขหน้า ประดิษฐาน พระปาลิไลยก์ ปางปาลิไลยก์ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงหล่อเพิ่ม
[แก้] อื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายจุด อาทิเช่น เขามอ ฤๅษีดัดตน ศิวลึงค์ และอื่นๆ