มารายห์ แครี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มารายห์ แครี |
|
ช่วงปี | ค.ศ. 1990 - ปัจจุบัน |
แนวเพลง | ป็อบ,อาร์แอนด์บี |
ค่าย | Columbia, Virgin, Island/Def Jam |
|
มารายห์ แครี (Mariah Carey) เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม, พ.ศ. 2513 ที่ เมือง Huntington รัฐนิวยอร์ก เป็นนักร้องและนักประพันธ์เพลงป๊อปชาวอเมริกัน ที่อยู่ไหนแถวหน้าในยุค 90 เธอเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษ ตามการรายงานของนิดยสารบิลบอร์ด และตามที่ World Music Awards รายงานนั้น มารายห์เป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดแห่งทศวรรษ[5] และในปี พ.ศ. 2543 รายการดังกล่าวยกย่องเธอให้เป็นศิลปินเพลงป๊อปหญิงยอดเยี่ยมแห่งยุค พร้อมทั้งยังได้รับรางวัลนักร้องหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลด้วยยอดขายกว่า 150 ล้านชุด ณ เวลานั้น
ดนตรีของมารายห์ได้รับอิทธิพลมาจากแนวดนตรีริธึ่มแอ็นด์บลูส์ ป๊อป ก็อสเปล ฮิปฮอป แดนซ์ และ ร็อคแอนด์โรล แนวการร้องและการแต่งเพลงของเธอเป็นไปตามความสามารถในการร้องเพลงได้กว้างถึงห้าอ็อกเทฟ นอกจากนี้เธอยังใช้เทคนิคการร้องที่เรียกว่า เมลิสม่า (เทคนิคการร้องเพลงให้หลายๆ ตัวโน้ตในหนึ่งคำ) และเสียงที่ขึ้นลง สลับกันไปมา และกระโดดข้ามอ็อกเทฟเป็นเทคนิคที่พบบ่อยในเพลงของเธอ มารายห์โปรดิวซ์ อัลบั้มที่เป็นสตูดิโออัลบั้มของเธอยกเว้นอัลบั้มแรกของเธอ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา มารายห์ได้กระโดดเข้ามาในงานแสดง และได้ช่วยเหลือองค์กรการกุศลหลายๆ องค์กร
[แก้] ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990
มารายห์ แครีเป็นลูกคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องอุปรากรและนักฝึกขับร้องชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ ผู้ซึ่งมีเชื้อสายไอริชอเมริกัน กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า แอฟริกันชื่ออัลเฟรด รอย แครี เธอได้รับการตั้งชื่อว่า มารายห์มาจากเพลง (And They Call the Wind) Mariah ในละครเพลงเรื่อง Paint Your Wagon มารายห์ไม่มีชื่อกลาง เธอมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ แอลิสัน ซึ่งอายุแก่กว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน ซึ่งอายุแก่กว่าเธอเก้าปี
จากการที่ถูกเลี้ยงดูในครอบครัวที่พ่อแม่มาจากเชื้อชาติที่ต่างกัน ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาเกี่ยวกับเชื้อชาติตั้งแต่การดูถูก เมินเฉย หรือแม้กระทั่งความรุนแรง ครอบครัวของเธอจึงย้ายบ้านไปรอบๆ นิวยอร์กบ่อยๆ เพื่อที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวทำให้พ่อแม่ของเธอหย่าขาดจากกันเมื่อมารายห์อายุได้สามขวบ เธอและมอร์แกนอาศัยอยู่กับแม่ของเธอในขณะที่แอลิสันไปอยู่กับพ่อ เธอไม่ค่อยได้ติดต่อกับพ่อเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น แพทริเชียเลี้ยงดูมารายห์ขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายบ้านอยู่บ่อยๆในเขตลองไอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี เธอก็ยังสามารถทำให้ครอบครัวอบอุ่นและน่าอยู่ได้ คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าแพทริเชียนั้นไม่มีวิญญาณความเป็นแม่ เพราะว่ามารายห์มักจะพูดเสมอว่าเธอโตเร็วกว่าอายุและก็ได้ประสบเหตุการณ์อันเจ็บปวดในสมัยที่เธอเป็นเด็กและต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จากสิ่งที่เธอเผชิญมานั้นเธอจึงพูดอยู่บ่อยๆ ว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เลี้ยงดูฟูมฟักเธอให้เติบใหญ่ขึ้นมาแบบที่คนอื่นไม่เคยได้รับมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม มารายห์และแม่ของเธอก็ยังคงสถานะความใกล้ชิดอยู่จนถึงปัจจุบัน
มารายห์ แครีเริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ แม่ของเธอเชื่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าเธอมีพรสวรรค์ในการร้องเพลง จริงๆ แล้วแพทริเชียชอบพามารายห์ไปดูการซ้อมโอเปร่าอยู่บ่อยๆ วันหนึ่งแพทริเชียลึมคิวการร้องเพลงแต่มารายห์สามารถทำให้ทุกคนประหลาดใจ เมื่อเธอจำได้และสามารถร้องต่อได้อย่างสมบูรณ์ เธอเริ่มมีการแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มแต่งเพลงตอนชั้นประถม มารายห์เรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าไปในวงการบันเทิง ทำให้เธอได้ฉายาว่า มิราจ (ภาพลวงตา) เป็นเรื่องแปลกที่มารายห์ไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย สุดท้าย เธอก็ได้รับงานเป็นนักร้องแบ๊กอัพให้กับ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี ค.ศ. 1988 มารายห์ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลงโคลัมเบียชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า ในงานเลี้ยงหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปเดโมให้กับเขา เทปม้วนนั้นถูกเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหามารายห์แต่เธอก็กลับไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาเธอจนพบและก็เซ็นสัญญาให้เธอเข้ามาอยู่ในสังกัด เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของมารายห์สู่สายตาของสาธารณะชน
[แก้] การประสบความสำเร็จในช่วงแรก ปี 1990 ถึง 1992
อาชีพของมารายห์ แครี ได้เริ่มขึ้นกับอัลบั้มชุดแรกในชีวิตของเธอที่มีชื่อเดียวกับเธอ ในปี ค.ศ. 1990 เธอดังในภายในข้ามคืน มีเพลงอันดับ 1 ถึง 4 เพลง (ในอเมริกา) คือ Vision Of Love, Love Takes Time, Someday และ I Don't Wanna Cry แต่อัลบั้มนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับ International เท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ดี เธอก้ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี ค.ศ. 1991 กับรางวัล Best Female Pop Vocal Performance และ Best New Artist
อัลบั้มชุดที่ 2 "Emotions" ออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1991 และซิงเกิ้ลแรก Emotions ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาเป็นเวลานาน 3 สัปดาห์ ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มี 5 ซิงเกิ้ลแรกติดอันดับ 1 ในบิลบอร์ด และตามมาด้วยเพลง Can't Let Go ที่หยุดอยู่ที่อันดับ 2 และเพลง Make It Happen ก็สูงสุดอันดับ 5 อัลบั้มชุดนี้เธอได้ร่วมงานกับ Robert Clivilles และ David Coles (วง C&C Music Factory) นอกจากนั้นอัลบั้มนี้ยังได้ร่วมงานกับ Carole King นักร้อง/นักแต่งเพลงหญิงชื่อดังในยุค 70 เจ้าของเพลงดัง It's Too Late
ในปี ค.ศ. 1992 เธอได้แสดงคอนเสิร์ตจริงครั้งแรกกับเอ็มทีวี รายการ MTV Unplugged โดยเธอได้ร้องเพลงจากอัลบั้ม 2 ชุดแรก และได้ร้องเพลงคัฟเวอร์ของวง แจ็คสันไฟฟ์ เพลง I'll be there ร่วมกับ Trey Lorenz และเพลงนี้ก็ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลและขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา และการแสดงสดครั้งนี้ของเธอก็อยู่ในอัลบั้ม EP ของเธอที่ชื่อ MTV Unplugged ที่มีเพลงทั้งหมด 7 เพลง
[แก้] ความสำเร็จไปทั่วโลก ปี 1993 ถึง 1996
มารายห์ แครีแต่งงานกับ ทอมมี่ ม็อตโตล่า CEO บริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน ต่อมาเธอก็ออกผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จขายได้มากกว่า 10 ล้าน เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Dreamlover ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกานาน 8 สัปดาห์ ต่อด้วยเพลง Hero ที่เป็นเพลงให้กำลังใจ ก็ขึ้นอันดับในอเมริกา นาน 4 สัปดาห์ ส่วนซิงเกิ้ลที่ 3เพลง Without You ได้นำเพลงเก่าของ Harry Nillson มาคัฟเวอร์ใหม่ เพลงนี้เป็นเพลงแรกของ มารายห์ แครี ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ช่วงปี ค.ศ. 1994 เธอได้ร่วมร้องเพลงกับ ลูเธอร์ แวนดรอส อัลบั้ม Songs ที่นำเพลงเก่า Endless Love ของ Lionel Richie และ Diana Ross มาคัฟเวอร์ใหม่ ปลายปี ค.ศ. 1994 เธอได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสมีเพลงดังที่แต่งขึ้น ถือว่าเป็นเพลงคลาสสิคคริสต์มาส เพลง All I Want For Christmas Is You ที่มียอดขายถล่มถลายในประเทศญี่ปุ่น
ในปี ค.ศ. 1995 เธอออกอัลบั้ม Daydream โดยอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานเพลงแนว R&B และ Hip Hop เข้ากับเพลงป็อบ มีเพลง Fantasy ที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกที่เข้าชาร์ทนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้ และ นับเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกเป็นเพลงที่ 2 ถัดจาก You're Not Alone ของ Michael jackson ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 เพลง One Sweet Day ที่ร่วมงานกับวงอาร์แอนด์บี Boyz II Men ก็ขึ้นอันดับ 1 นานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาร์ทซิงเกิ้ลในอเมริกา นานถึง 16 สัปดาห์ ซิงเกิ้ลที่ 3 Always Be My Baby ที่ร่วมงานกับ Jermain Dupri ก็ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน รวมไปถึงอันดับ 1 ยอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี 1996
นอกจากนั้น มารายห์ แครี่ยังร่วมประสานเสียงให้กับ Babyface ในเพลง Everytime I close My Eyes
[แก้] ความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ใหม่ ปี 1997 ถึง 2000
มารายห์ แครีและ ทอมมี่ ม็อตโตล่าแยกกันอยู่ปี 1997 โดยเธอต้องสร้างภาพสู่สาธารณชนอยู่มีความสุข แต่จริงแล้ว มารายห์ไม่มีความสุขกับชีวิตคู่เลย เธอถูกสปาย ถูกปฏิบัติเหมือนนกในกรงทอง สุดท้ายการหย่าร้างก็เกิดขึ้นในปีถัดมา
ปี ค.ศ. 1997 อัลบั้ม Butterfly ออกวางจำหน่าย และขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกเป็นครั้งที่ 2 โดยอัลบั้มชุดนี้เธอได้ลงสู่แนว R&B และ Hip Hop อย่างจริงจัง รวมถึงภาพลักษณ์เซ็กซี่ที่แสดงออก ซิงเกิ้ลแรกเพลง Honey ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินแร็ป Puff Daddy (ในขณะนั้น) และเพลง Butterfly ที่กล่าวถึงชีวิตคู่ของเธอ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ซิงเกิ้ลต่อมา My All ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 ในซิงเกิ้ลชาร์ทเป็นเพลงที่ 13
เธอได้เปิดค่ายเล็ก ชื่อ Crave Records โดยมีศิลปินอย่าง Allure,7 Mile เป็นต้น แต่ก็ปิดตัวไปในที่สุด นอกจากนั้นเธอยังได้ทำงานในฐานะนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินอื่นๆเช่น Allure (เธอร่วมแต่งเพลงในเพลง Head Over Heels และ Last Chance และร่วมโปรดิวซ์อีกหลายเพลงรวมถึงซิงเกิ้ลฮิตของ Allure เพลง All Cried Out สำหรับงานแต่งเพลง ยังร่วมเขียนเพลงให้กับ Trey Lorenz เพลง Make You Happy ในซาวด์แทร็ก Men in Black และเธอได้ร่วมโปรดิวซ์อีก ให้กับ เพลง After ของวง 7 Mile และ เพลง Don't Go Looking For Love ของวง Blaque และได้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง How The Grinch Stole Christmas เพลง Where Are You Christmas ขับร้องโดย Faith Hill
ระหว่างปี ค.ศ. 1998 มารายห์ แครี่มีข่าวคราวกับนักกีฬาเบสบอล Derek Jeter สังกัด New York Yankees ในปี ค.ศ. 1998 เธอออกอัลบั้มรวมเพลงอันดับ 1 ทั้งหมดของเธอ "#1s" โดยมีเพลงดังอย่าง I Still Believe ที่เป็นเพลงเก่าของ Brenda K. Star เพลงฮิตในปี ค.ศ. 1988 ที่มารายห์ได้มีส่วนร่วมในการคอรัสด้วยครั้งนั้น และที่สร้างความประหลาดใจคือ เธอได้ร่วมงานร้องเพลงคู่กับ วิทนีย์ ฮูสตัน ในเพลง When You Believe ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Prince Of Egypt เพลงนี้ยังได้รางวัลจากเวที เพลงนี้ยังได้รางวัลจากเวทีออสการ์ อีกด้วย
ในปีนั้นเธอยังได้มีส่วนร่วมกับงาน VH1 Divas ทางช่องวีเอชวัน โดยเป็นคอนเสิร์ตที่รวมศิลปินหญิงชื่อดังอย่าง Aretha Franklin,Céline Dion,Gloria Estefan,Carole King และ Shania Twain
ในปี ค.ศ. 1999 เธอได้ออกอัลบั้ม Rainbow ที่เธอได้ลงมาในทาง Hip Hop และ R&B อย่างอัลบั้ม Butterfly เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Hearbreaker ที่ได้ Jay-Z มาร่วมร้อง มิวสิควิดีโอเพลงนี้ได้ใช้เงินลงทุนมากที่สุดของเธอเลย ซิงเกิ้ลที่ 2 Thank God I Found You ได้ร่วมงานกับ Joe และวง 98 Degrees เพลงนี้เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 15 ในอเมริกาของเธอ ฝั่งอังกฤษเธอได้ปล่อยซิงเกิ้ล Against All Odds (Take A Look At Me Now) เพลงเก่าของ Phil Collins ในปี ค.ศ. 1984 โดยได้ร่วมร้องกับวงบอยแบนด์ Westlife ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 2 ของเธอ ตัวอัลบั้มในอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอัลบั้มชุดก่อนๆ โดยขึ้นอันดับ 2 ในอเมริกา
ท้ายปี นิตยสารบิลบอร์ด ได้แจกรางวัลให้กับเธอ รางวัล Billboard's Artist of the Decade Award และเธอยังได้รางวัลจาก World Music Award รางวัล theBest-Selling Female Artist of the Millennium นอกจากนี้เธอยังทำสถิติเป็นศิลปินคนเดียวในประวัติศาสตร์บิลบอร์ดที่มีเพลงอันดับ 1 ทุกๆปีในยุค 90s (1990-1999)
เธอได้ก้าวสู่ฐานะศิลปินแนว R&B โดย ได้ทำงานกับ Jay-Z เพลง Things That U Do และ Got A Thing For You ของ Da Brat
[แก้] อุปสรรคในเรื่องส่วนตัวและอาชีพ ปี 2001 ถึง 2003
มารายห์ แครีประสบความสำเร็จในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงขาลงของเธอก็มาถึง เธอได้สิ้นสุดสัญญากับโซนี่และไดเซ็นสัญญากับ EMI ด้วยเงิน 70 ล้านปอนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 และถูกยกเลิกสัญญาจาก EMI ในต้นปีค.ศ. 2002 ด้วยเงิน 19 ล้านปอนด์ เป็นที่รู้กันว่าในช่วงนั้นร่างกายและจิตใจเธอทรุดโทรมลงมาก เธอได้ทิ้งข้อความ voicemail messages ลงเว็บไซต์ของเธอ (ที่ถูกเอาออกอย่างรวดเร็ว) ถึงเรื่องการทำงานหนักมากของเธอในรอบหลายปี นอกจากนั้นความสัมพันธ์กับนักร้องละติน Luis Miguel ก็จบลง มารายห์ได้แสดงกิริยาหลุดโลกในรายการของเอ็มทีวี รายการ TRL โดยถอดเสื้อผ้าออกกลางรายการ
เธอได้แสดงหนังเรื่องแรกเป็นตัวเอกในเรื่องกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ "Glitter" หนังออกฉายในวันที่ 21 กันยายน หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากและล้มเหลวในตาราง box office เมื่อ Virgin Records ออกขายอัลบั้มที่ 10 ของเธอ Glitter มารายห์ก็ไม่สามารถที่จะโปรโมตอัลบั้มชุดนี้ได้เท่าที่ควรเนื่องจากเธอปัญหาเรื่องสุขภาพ และการวางขายอัลบั้มในวันที่แย่ที่สุดคือ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 อัลบั้มเข้าชาร์ทที่อันดับ 7 ซึ่งแย่ที่สุดที่เคยทำได้ อัลบั้มก็ถูกนักวิจารณ์สับเละ "Loverboy" ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 เนื่องจากแคมเปญลดราคาเหลือ 99 cent และยอดการเปิดออกอากาศที่น้อยมาก มารายห์ได้ร้องเพลง Hero ในวันที่ 21 กันยายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการหาเงินหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 ก.ย. และในเดือนธันวาคมเธอได้ร้องเพลงให้กับกองทับอเมริกันก่อนไปโคโซโว
หลังออกอัลบั้ม Glitter บ.โซนี่ได้ออกอัลบั้ม Greatest Hits ก่อนช่วงคริสต์มาส อัลบั้มนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชาร์ท
เดือนมกราคม ค.ศ. 2002 EMI ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเธอด้วยเงิน 28 ล้านเหรียญ และเธอได้เซ็นสัญญาอีกครั้งกับ Island Records' Def Jam ในปี 2002 ในช่วงนี้พ่อของเธอ Alfred Roy Carey เสียชีวิตด้วยโรงมะเร็ง
เธอได้ร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง WiseGirls มารายห์ ได้ออกอัลบั้ม Charmbracelet กับสังกัดใหม่ ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2002 ขึ้นชาร์ทอัลบั้มสูงสุดอันดับ 3 ในอัลบั้มนี้เธอได้ถ่ายทอดเพลงผ่านบทเพลงซึ่งมีความหมายกับเธอและแฟนเพลง อย่างเพลง Through The Rain นอกจากนั้นในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง Boy (I Need You)ได้ร่วมงานกับแร็ปเปอร์ Cam'ron รวมถึงเพลงเก่าของ Def Leppardในปี 1993 ที่เธอนำมาทำใหม่ Bringin' On The Heartbreak
ในปี 2003 เธอได้ร่วมงานกับ Busta Rhymes ในเพลง I Know What You Want เพลงนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 3 ในอเมริกา และบรรจุอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ (The Remixes) ของเธอด้วย
[แก้] การกลับมาของเธอ ปี 2004 ถึงปัจจุบัน
ในปี 2004 มารายห์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำอัลบั้ม The Emancipation of Mimi ในช่วงปลายปี 2004 เธอได้ร่วมงานกับ Jadakiss ในเพลง U Make Me Wanna ซึ่งสามารถเข้าถึง Top 10 บน Billboard's R&B/Hip-Hop Singles chart
มารายห์ แครี่ได้พรีเมียร์เพลง It's Like That ที่ Pure Club ในลาสเวกัส ได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดี และเพลงนี้ก็ขึ้นสูงสุดอันดับ 16 ในบิลบอร์ดชาร์ท สื่อต่างๆให้ความเห็นว่านี่คือการกลับมาของมารายห์ อัลบั้ม "The Emancipation of Mimi" เธอได้ร่วมงานกับ Neptunes, Kanye West รวมไปถึงJermaine Dupri อัลบั้มยังได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทอัลบั้มบิลบอร์ดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย ซิงเกิ้ลที่ 2 "We Belong Together" ได้ถูกโหมกระหน่ำจากวิทยุ จนขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ดเป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ของเธอเพลงแรกในรอบ 5 ปี และเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ ซิงเกิ้ลที่ 3 "Shake It Off" ก็ยังได้รับการเปิดทางสถานีวิทยุอย่างมาก จนทำให้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ในชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ด
2 กรกฎาคม 2005 เธอได้ร่วมแสดงในงาน Live8 ที่เวทีลอนดอน โดยร้องเพลง "Make It Happen" และ "Hero"ซึ่งร้องกับคณะประสานเสียง African Children's Choir และจบด้วยเพลง "We Belong Together" โดยมีเพื่อนเก่าอย่าง Randy Jackson (คณะกรรมการAmerican Idol)มาร่วมแสดง
ซิงเกิ้ลที่ 4 "Don't Forget About Us" ขึ้นอันดับ 1บนชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ดเป็นเพลงที่ 17 ทำให้เธอมีสถิติเป็นศิลปินที่มีอันดับ 1 มากที่สุดเท่ากับเอลวิส เพรสลีย์ (รองจากวง The Beatles ที่มีจำนวนอันดับ 1 ถึง 20 เพลง)
อัลบั้ม "The Emancipation of Mimi" ชุดนี้ก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดประจำปีและได้ 3 รางวัลแกรมมี่อวอร์ดส (Best Contemporary R&B Album,Best R&B Song: "We Belong Together" ,Best Female R&B Vocal Performance)
มารายห์เริ่มทัวร์ The Adventures of Mimi ช่วงซัมเมอร์ ปี2006 และได้เริ่มกับผลงานอัลบั้มชุดใหม่ซึ่งคาดว่าจะออกในช่วงspring 2007 และในปี2007, เธอจะได้รับรางวัล "recording star" บน Hollywood Walk of Fame และจะได้รับตำแหน่ง the Long Island Music Hall of Fame
[แก้] บทบาททางการแสดง
มารายห์ได้ก้าวเข้าสู่หนทางการเป็นนักแสดง โดยได้เริ่มเรียนการแสดงในปี 1997 ปีถัดมาเธอได้ออดิชั่นและได้แสดงเป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง The Bachelor (1999)นำแสดงโดย Chris O'Donnell และ Renée Zellweger โดยเธอแสดงเป็นนักร้องโอเปร่าสาว ได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ดีนักสำหรับเรื่องแรก เรื่องต่อมาเธอได้แสดงในหนังกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ Glitter (2001) โดยครั้งนี้เธอได้แสดงเป็นตัวนำ แสดงร่วมกับ Max Beesley เรื่องนี้ล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์ เรื่องที่ 3 ของเธอได้แสดงเป็นตัวประกอบในเรื่อง WiseGirls (2002)แสดงร่วมกับ Mira Sorvino และ Melora Walters โดยในเรื่องนี้เธอได้รับบทเป็นสาวเสิร์ฟ และเธอยังได้แสดงในหนังเรื่อง Death of a Dynasty (2003) และ State Property 2 (2005) ในส่วนทางด้านทีวีเธอได้ร่วมแสดงใน Ally McBeal ช่วงเดือนมกราคม ปี 2002 ล่าสุดในปี 2006 เธอได้แสดงในหนังอินดี้เรื่อง Tennessee รับบทเป็นสาวเสิร์ฟที่เดินทางกับพี่ชาย 2 คนเพื่อตามหาพ่อที่หายไป
[แก้] อื่นๆ
[แก้] กิจกรรมการกุศล
มารายห์เธอได้เป็นคนใจบุญใจกุศล ได้ร่วมการบริจารเงินนับล้านๆดอลล่าร์ให้กับองค์กรการกุศลอย่างเช่น Make-A-Wish Foundation,National Adoption Center,โครงการVH1's Save The Music Foundation,Fresh Air Fund และอื่นๆ
มารายห์ได้เป็นที่รู้จักกันดีในการช่วยเหลืองานในมูลนิธิ Make-A-Wish Foundation (ช่วยเหลือเด็กที่ป่วย) นอกจากนั้นเธอยังเป็นอาสาสมัครให้กับ New York Presbyterian Hospital Cornell Medical Center ยอดการขายอัลบั้ม MTV Unplugged ก็ได้บริจาคให้การกุศลหลายโครงการ
ในปี 1998 เธอได้ร่วมงานกับวีเอชวัน Divas Live ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตหารายได้ให้กับเด็กที่ขาดแคลนเครื่องดนตรีในมูลนิธิ Save the Music Foundation โครงการนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
เธอร่วมร้องเพลงในงาน America: A Tribute to Heroes เป็นการหารายได้ทางทีวีหลังเหตุการณ์ 11 ก.ย. และในเดือนธันวาคม 2001 เธอได้ร้องเพลงให้กับกองทับอเมริกันก่อนไปโคโซโว นอกจากนั้นเธอยังได้เป็นพิธีกรให้กับรายการพิเศษของสถานี CBS รายการ At Home for the Holidays เป็นสารคดีเกี่ยวกับลูกอุปถัมภ์ เธอยังได้ร่วมงานกับ New York City Administration for Children's Services ในปี 2005 เธอได้ร่วมแสดงในงาน Live 8 ในลอนดอนและช่วยเหลือผู้ประสบภัย Hurricane Katrina
[แก้] งานอื่นๆ
งานทั่วไปเธอได้มีส่วนร่วมกับ Berlitz Language Schools และ Aeon English College ในญี่ปุ่น , Nescafé coffee, และ Intel Centrino personal computers
ต้นปี 2006 เธอได้ออกเครื่องประดับสำหรับวัยรุ่น "Glamorized" ถัดมาเธอได้เซ็นสัญญากับบ.เครื่องสำอางค์ Elizabeth Arden ที่จะออกน้ำหอมปี 2007 นอกจากนั้นเธอยังได้ร่วมกับสปอนเซอร์เป๊ปซี่และโมโตโรล่า
[แก้] บ้าน
มารายห์เป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ 3 ชั้นใน TriBeCa,แมนฮัตตัน,นิวยอร์ก โดยเธอได้ให้ MTV ได้ออกอากาศในรายการ MTV Cribs ตรงกลางบ้านจะเป็นเปียโนขนาดใหญ่สีขาวขัดมันที่เคยเป็นของ Marilyn Monroe โดยเธอได้ซื้อมาจากการประมูลในเดือนตุลาคม 1999 ในราคา 6แสนดอลล่าร์
[แก้] เสียงร้อง
มารายห์ แครีเป็นนักร้องโคโลราทูราโซปราโน (coloratura soprano นักร้องระดับเสียงสูงสุดของผู้หญิงที่สามารถใช้เสียงได้หลากหลายด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและร้องเสียงเฮดโทนวอยซ์ได้) เสียงเธอมีความกว้างถึงห้าอ็อกเทฟและมีเอกลักษณ์จากความสามารถในการร้องเสียงสูงในwhistle register (เสียงร้องเสียงสูงที่สูงกว่า E6) โน้ตที่สูงที่สุดที่เธอร้องได้คือ G#7 (โน้ตที่สูงกว่า C7 ซึ่งเป็นโน้ตสูงสุดบนคีย์บอร์ดมาตรฐานอยู่ห้าเสียงครึ่ง หรือสูงกว่าโน้ตสูงที่สุดบนคีย์ของเปียโนซึ่งมีอยู่ 88 คีย์) มารายห์จัดว่าเป็น นักร้องที่มีเสียงดีที่สุดตลอดกาลของวงการเพลงป๊อป [6] อีกด้วย ในปี 2003 มารายห์ถูกโหวตให้เป็นนักร้องเสียงดีที่สุดจากรายการ The Greatest Voices in Music ของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีวี และนิตยสาร Blender ของอเมริกา แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Whitney Houston ซึ่งอยู่อันดับ 3 Christina Aguilera อันดับห้า และ Celine Dion ซึ่งอยู่อันดับที่เก้า
ท่าทางการร้องเพลงของมารายห์ แครีในคอนเสิร์ตมีเอกลักษณ์อยู่การแกว่างแขนซ้ายของเธอขณะร้องเพลง ครูสอนร้องเพลงหลายๆ ท่านกล่าวแนะนำการกระทำอย่างนี้ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เทคนิคในการร้องเพลงดีขึ้น
มารายห์ แครีมักจะได้รับคำกล่าวอย่างผิดๆ ว่ามีเสียงร้องถึงเจ็ดอ็อกเทฟ สาเหตุเนื่องจากการกล่าวเกินจริงในสมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ [7] บางทีคำกล่าวนี้อาจจะเกิดจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เสียงของเธอในการร้องเสียงสูงในwhistle register โดยเฉพาะโน้ตเพลงในอ็อกเทฟที่เจ็ด
[แก้] อิทธิพล
มารายห์ได้รับอิทธิพลจากบทเพลงของศิลปินหลายท่าน อาทิ Madonna, Janet Jackson, Whitney Houston, Aretha Franklin และ Minnie Riperton แต่ตัวเธอก็ได้เป็นแรงบรรดาลใจให้กับศิลปินรุ่นต่อมาอีกมากมายเช่นกัน อาทิ Debelah Morgan, Jessica Simpson, Ragazzi, Arianna, 3LW, Tarralyn Ramsey, Tonya Mitchell, Kortney Kayle, Myra, Amanda, Kaci, Rhona Bennett, Soluna, Aja, The Cheetah Girls, Tamyra Gray, Lisa Andreas, Victoria Acosta, Nikki Flores, Christina Aguilera, Beyonce' Knowles รวมถึงผู้เข้าแข่งขัน American Idol อีกหลายท่าน
[แก้] ชาร์ต
[แก้] อันดับทั้งหมดในบิลบอร์ดชาร์ต
[แก้] ซิงเกิล
ปี | ซิงเกิ้ล | อัลบั้ม | อเมริกา | อังกฤษ | แคนาดา | ออสเตรเลีย | ยอดขายระดับ[8][9] | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
|
|
|
|||||||
1990 | "Vision of Love" | Mariah Carey | 1 | 1 | 1 | n/a | 9 | 1 | 9 | Gold |
"Love Takes Time" | 1 | 1 | 1 | n/a | 37 | 1 | 14 | Gold | ||
1991 | "Someday" | 1 | 3 | 5 | 1 | 38 | 5 | 44 | Gold | |
"I Don't Wanna Cry" | 1 | 2 | 1 | n/a | n/a | 7 | 49 | |||
"There's Got to Be a Way" | n/a | n/a | n/a | n/a | 54 | n/a | n/a | |||
"Emotions" | Emotions | 1 | 1 | 3 | 1 | 17 | 3 | 11 | Gold | |
1992 | "Can't Let Go" | 2 | 2 | 1 | n/a | 20 | 7 | 63 | ||
"Make It Happen" | 5 | 7 | 13 | 16 | 17 | 16 | 35 | |||
"I'll Be There" (feat. Trey Lorenz) |
MTV Unplugged | 1 | 11 | 1 | n/a | 2 | 1 | 9 | ||
1993 | "Dreamlover" | Music Box | 1 | 2 | 2 | 1 | 9 | 1 | 7 | Platinum |
"Hero" | 1 | 5 | 2 | n/a | 7 | 10 | 7 | Platinum | ||
1994 | "Without You" | 3 | 4 | n/a | 1 | 2 | 3 | Gold | ||
"Anytime You Need a Friend" | 12 | 22 | 5 | 1 | 4 | n/a | 12 | |||
"Endless Love" (with Luther Vandross) |
Songs (Luther Vandross) |
2 | 7 | 11 | n/a | 3 | n/a | 2 | Gold | |
"All I Want for Christmas Is You" | Merry Christmas | 83 1 | — | 6 | n/a | 2 | — | 2 | Gold | |
"Joy to the World" | n/a | — | — | 17 | n/a | n/a | 32 | |||
1995 | "Fantasy" | Daydream | 1 | 1 | 8 | 1 | 4 | 1 | 1 | 2xPlatinum |
"One Sweet Day" (with Boyz II Men) |
1 | 2 | 1 | n/a | 6 | 2 | 2 | 2xPlatinum | ||
1996 | "Open Arms" | n/a | n/a | n/a | n/a | 4 | n/a | 23 | ||
"Always Be My Baby" | 1 | 1 | 2 | 6 | 3 | 2 | 17 | Platinum | ||
"Everytime I Close My Eyes" (Babyface feat. Kenny G and Mariah Carey) |
The Day (Babyface) |
13 | n/a | |||||||
"Underneath the Stars" | Daydream | n/a | 69 | — | n/a | n/a | n/a | n/a | ||
"Forever" | 9 (Airplay) |
— | 2 | n/a | n/a | 13 | 40 | |||
1997 | "Honey" | Butterfly | 1 | 2 | — | 1 | 3 | 2 | 8 | Platinum |
"Butterfly" | 16 (Airplay) |
— | 11 | 13 | 22 | n/a | 27 | |||
1998 | "Breakdown" (feat. Bone Thugs-N-Harmony) |
53 (Airplay) |
4 | — | n/a | n/a | n/a | 38 | ||
"My All" | 1 | 18 | 5 | 4 | 12 | 39 | Platinum | |||
"Sweetheart" (with Jermaine Dupri) |
Life in 1472 (Jermaine Dupri) |
125 2 3 | — | — | n/a | n/a | n/a | n/a | ||
"When You Believe" (with Whitney Houston) |
The Prince of Egypt: Original Soundtrack | 15 | — | 3 | n/a | 4 | 26 | 15 | Gold | |
1999 | "I Still Believe" | 1's | 4 | 8 | 1 | 16 | 9 | 54 | Platinum | |
"Heartbreaker" (feat. Jay-Z) |
Rainbow | 1 | 1 | — | 2 | 5 | 1 | 10 | Gold | |
2000 | "Thank God I Found You" (feat. Joe and 98 Degrees) |
Rainbow | 1 | 1 | — | — | 10 | 2 | 27 | Gold |
"Crybaby" 4 (feat. Snoop Dogg) |
28 | — | — | n/a | n/a | n/a | n/a | |||
"Can't Take That Away (Mariah's Theme)" 4 | — | — | 6 | n/a | 4 | n/a | ||||
"Against All Odds (Take a Look at Me Now)" (feat. Westlife) |
— | — | — | — | 1 | 22 | — | |||
2001 | "[Loverboy" (feat. Cameo) |
Glitter | 2 | 1 | — | 45 | 12 | 3 | 7 | Gold |
"Never Too Far" 5 | 105 2 | — | 17 | n/a | 32 | n/a | 36 | |||
"Don't Stop (Funkin' 4 Jamaica)" 5 (feat. Mystikal) |
123 2 | 42 | — | n/a | n/a | n/a | ||||
"Never Too Far/Hero Medley" | — | 81 | 66 | — | n/a | n/a | n/a | n/a | ||
2002 | "Through the Rain" | Charmbracelet | 81 | 69 | 17 | 1 | 8 | 5 | 15 | |
"Irresistible (Westside Connection)" | — | 81 | — | n/a | n/a | n/a | n/a | |||
2003 | "Boy (I Need You)" (feat. Cam'ron) |
— | 68 | — | n/a | 17 | 32 | 29 | ||
"I Know What You Want" (Busta Rhymes feat. Mariah Carey & the Flipmode Squad) |
It Ain't Safe No More (Busta Rhymes) |
3 | 2 | — | n/a | 3 | 5 | 3 | ||
"Bringin' on the Heartbreak" | Charmbracelet | — | — | — | 5 | n/a | n/a | n/a | ||
2004 | "What Would You Do" (Damizza feat. Butch Cassidy, Nate Dogg and Mariah Carey) |
— | — | 57 | — | — | n/a | n/a | n/a | |
"U Like This (Megamix)" | — | — | — | — | 38 | n/a | n/a | n/a | ||
"U Make Me Wanna" (Jadakiss feat. Mariah Carey) |
Kiss of Death (Jadakiss) |
21 | 8 | — | n/a | |||||
2005 | "It's Like That" | The Emancipation Of Mimi | 16 | 17 | — | 1 | 4 | |||
"We Belong Together" | 1 | 1 | 3 | 1 | 2 | n/a | n/a | |||
"Shake It Off" | 2 | 2 | — | 23 | 9 | |||||
"Don't Forget About Us" | 1 | 1 | — | 1 | 11 | |||||
"Say Something" | 79 | 27 | ||||||||
"Mine Again" | 73 |
[แก้] อัลบั้ม
ปี | อัลบั้ม | อันดับ | ยอดขายในอเมริกา (ล้าน) |
ยอดขายทั่วโลก (ล้าน) |
ยอดขายระดับ | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
U.S. | SoundScan | Columbia House | BMG Music Club | Total | ||||
1990 | Mariah Carey | 1 | 4.83[1] | 0.1[2] | — | 4.93 | 17.5[3] | 9x platinum เดือน ธันวาคม 1999 |
1991 | Emotions | 4 | 3.57[1] | 0.6[2] | — | 4.17 | 12.5[4] | 5x platinum เดือน มกราคม 2003 |
1992 | MTV Unplugged | 3 | 2.73[1] | — | — | 2.73 | 9[5] | 3x platinum เดือน ธันวาคม 1994 |
1993 | Music Box | 1 | 7.15[1] | — | 0.74[2] | 7.89 | 27[6] | Diamond (10x platinum) เดือน พฤศจิกายน 1997 |
1994 | Merry Christmas Merry Christmas | 3 | 4.60[1] | — | — | 4.60 | 16[7] | 5x platinum เดือน มกราคม 2003 |
1995 | Daydream | 1 | 7.53[1] | 1.5[2] | 0.85[2] | 9.88 | 25[8] | Diamond (10x platinum) เดือน ธันวาคม 1998 |
1997 | Butterfly | 1 | 3.70[1] | — | — | 3.70 | 14[9] | 5x platinum เดือน ธันวาคม 1999 |
1998 | 1's | 4 | 3.52[1] | — | 1[2] | 4.52 | 15[10] | 5x platinum เดือน มกราคม 2003 |
1999 | Rainbow | 2 | 2.92[1] | 0.5[2] | 0.44[2] | 3.41 | 10[11] | 3x เดือน ธันวาคม 1999 |
2001 | Glitter | 7 | 0.62[1] | — | — | 0.62 | 3.5[12] | Platinum เดือน ตุลาคม 2001 |
2001 | Greatest Hits | 52 | 0.86[1] | — | — | 0.86 | 3[13] | Platinum เดือน มกราคม 2003 |
2002 | Charmbracelet | 3 | 1.14[1] | 0.17[2] | — | 1.30 | 2.5[14] | Platinum เดือน มกราคม 2003 |
2003 | The Remixes | 26 | 0.23[1] | — | — | 0.24 | 1[15] | |
2005 | The Emancipation of Mimi | 1 | 5.70[16] | — | — | 5.70 | 10[17] | 6x platinum เดือน กุมภาพันธ์ 2006 |
[แก้] ผลงานเพลง
[แก้] สตูดิโออัลบั้ม
- 1990: Mariah Carey
- 1991: Emotions
- 1993: Music Box
- 1995: Daydream
- 1997: Butterfly
- 1999: Rainbow
- 2001: Glitter
- 2002: Charmbracelet
- 2005: The Emancipation of Mimi
[แก้] อัลบั้มอื่นๆ
- 1992: MTV Unplugged
- 1994: Merry Christmas
- 1998: #1's
- 2001: Greatest Hits
- 2003: The Remixes
[แก้] Video/DVD
- 1991: The First Vision
- 1992: MTV Unplugged +3
- 1994: Here Is Mariah Carey
- 1996: Fantasy: Mariah Carey at Madison Square Garden
- 1999: Around the World
- 1999: #1's
[แก้] ทริบิ้วอัลบั้ม
- 2004: The String Quartet Tribute to Mariah Carey
- 2005: Butterfly Melodies: The Piano Tribute to Mariah Carey
- 2005: Smooth Sax Tribute to Mariah Carey's Greatest Hits
[แก้] ผลงานการแสดง
- The Bachelor (1999)
- Glitter (2001)
- WiseGirls (2002)
- Death of a Dynasty (2003)
- State Property 2 (2005)
- Tennessee
[แก้] ทัวร์คอนเสิร์ต
- 1993: Music Box Tour
- 1996: Daydream World Tour
- 1998: Butterfly World Tour
- 2000: Rainbow World Tour
- 2003–2004: Charmbracelet World Tour
- 2006: The Adventures of Mimi Tour
[แก้] อ้างอิง
- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 U.S. Nielsen SoundScan sales from 1991 to December 2005
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 2.8 U.S. BMG Music Club and Columbia House sales as of February 2005
- ↑ As of November 2005
- ↑ As of 2005
- ↑ As of 2005
- ↑ As of 2005
- ↑ As of November 2005
- ↑ As of 2005
- ↑ As of 2005
- ↑ [1]
- ↑ As of 2005
- ↑ [2]
- ↑ As of 2005
- ↑ [3]
- ↑ As of 2005
- ↑ [4]
- ↑ As of May 2006
- Rottenberg, Josh. Mariah Carey Interview. Glamour Magazine. November, 1999. Retrieved July 11, 2005.
- Mariah Carey. Rock On The Net. Retrieved July 9, 2005.
- Lamb, Bill. Q. What Are Mariah Carey's #1 Hits?. About.com. Retrieved July 22, 2005.
- Chartlogs & Sales Statistics. MariahDaily.com. Retrieved August 20, 2005.
[แก้] ลิงก์ภายนอก
- MariahCarey.com - official site.
- Honey B. Fly - official fanclub site.
- Rare-Lyrics - Mariah Carey lyrics.
- ชีวประวัติ Mariah Carey ที่เว็บไซต์ IMDb
- Mariah Carey Google group
- Mariah Thailand Fanclub - Thailand Fanclub.
- mariahcareythailand.com