ข้าวฟ่าง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

โดยทั่วไปข้าวฟ่างเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด ตั้งแต่ดินทราย ดินร่วนปนทราย จนถึงดินเหนียว แต่ดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าวฟ่างให้ได้ผลผลิตสูง ควรเป็นดินร่วนเหนียวที่มีการระบายน้ำดี มีความเป็นกรด ด่างอยู่ระหว่าง 5.0-7.5

อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและสร้างเมล็ดของข้าวฟ่างจะอยู่ระหว่าง 27-30 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการสร้างเมล็ด ข้าวฟ่างต้องการปริมาณน้ำฝนตลอดฤดูปลูกประมาณ 320-500 มิลลิเมตร โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวฟ่างตั้งท้อง ดอก บาน และเมล็ดในระยะเป็นน้ำนมถ้าขาดน้ำในช่วงเหล่านี้ จะมีผลต่อการติดเมล็ด ขนาดเมล็ดจึงมีผลกระทบต่อ ผลผลิตเป็นอย่างมาก ความต้องการน้ำของข้าวฟ่าง จะลดลงในระยะที่เมล็ดเริ่มแก่จนถึงเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ข้าวฟ่างไม่ทนทานต่อสภาพน้ำขังในช่วงแรกของการเจริญเติบโต (ระยะกล้า) จะพบว่า ข้าวฟ่างมีใบ เหลืองต้นแคระแกร็น และอาจตายไปในที่สุด แหล่งปลูกที่สำคัญ ได้แก่ ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สระบุรี สุพรรณบุรี พันธุ์ข้าวฟ่างลูกผสมสีแดง

ส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกตามหลังข้าวโพด ในเขตการปลูกข้าวโพดจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี และเพชรบูรณ์ ตามระบบการจำหน่ายเมล็ดพันธ์และการรับซื้อผลผลิตกลับคืน


พันธุ์เฮกการีหนัก

เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้ต้นสูง เมล็ดใหญ่สีขาวขุ่น กรมวิชาการเกษตร (กรมกสิกรรม) แนะนำให้เกษตรกรปลูก ตั้งแต่ปี 2506 โดยมีลักษณะเด่น คือ มีผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยประมาณ 400-600 กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดมีขนาดใหญ่ และมีความไวต่อช่วงแสงเหมาะสำหรับปลูกในปลายฤดูฝนตั้งแต่ปลายเดือนกรกฏาคมถึงต้นเดือนกันยายน ปัจจุบันยังมีการปลูกในเขตจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา พันธุ์เฮกการีเบา เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีขาว กรมวิชาการเกษตร(กรมกสิกรรม) แนะนำให้เกษตรกรปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 โดยมีลักษณะเด่น คือ ต้นเตี้ยอายุสั้น ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะสำหรับปลูก ปลายฤดูฝน มีปลูกในเขตจังหวัดกาญจนบุรี แลชะสุพรรณบุรี พันธุ์อู่ทอง 1 เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้ ต้นเตี้ย อายุสั้น เมล็ดสีเหลืองได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรในปี พ.ศ. 2525 มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย 550 กิโลกรัมต่อไร่ มีความต้านทานต่อโรคราสนิม ไม่ต้านทาน โรคที่เกิดกับเมล็ด ทนแล้งได้ดี เหมาะสำหรับปลูกในปลายฤดูฝน ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม ถึงเดือนกันยายน เป็นพันธุ์ทนแล้งได้ดี พันธุ์สุพรรณบุรี 60

เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีแดง ได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรในปี พ.ศ. 2530 มีลักษณะเด่น คือเป็นพันธุ์ต้นเตี้ย อายุสั้น เมล็ดมีปริมาณสารแทนนินต่ำ มีปริมาณมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 450-500 กิโลกรัม ต่อไร่ เหมาะที่จะปลูกปลายฤดูฝน ตั่งแต่เดือน ก.ค. - ก.ย. พันธุ์สุพรรณบุรี 1

เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีแดง ได้รับการรับรองพันธ์จากกรมวิชาการเกษตร ในปี พ.ศ.2536 มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย 464 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิตต้นสดเฉลี่ยประมาณ 4 ตันต่อไร่และผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2-3 ตันต่อไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวขณะที่เมล็ดอยู่ในระยะน้ำนมและเมื่อเก็บเกี่ยวต้นสดหลังเก็บเมล็ดแล้วตามลำดับ ต้นสดมีปริมาณกรมไฮโดรไซยานิก เฉลี่ยประมาณ 2.15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักสด 100 กรัม มีโปรตีนประมาณ 9 % ทำให้ลำต้นหวานประมาณ 15 องศา


พืช  ข้าวฟ่าง เป็นบทความเกี่ยวกับ พืช ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ ข้าวฟ่าง ในภาษาอื่น สามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ๆ ด้านซ้ายมือ