อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แผนที่อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ขยาย
แผนที่อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

นับตั้งแต่ปี 1965 ที่มิสซังสยามได้รับการแบ่งและยกขึ้นเป็นสังฆมณฑลต่าง ๆ มาจนถึงปีนี้คือ 1990 ก็เป็นเวลา 25 ปีพอดี สำหรับเรื่องการแบ่งแยกและการยกมิสซังสยามเช่นนี้เพื่อให้มีการปกครองและบริหารแบฐานันดรของพระศาสนจักร (Ecclesiastical Hierarchy) ในปี 1965 มาจนถึง ปี 1990 นี้ จะยังไม่พูดในบทความนี้ ขอให้สังเกตว่าในขณะที่พระศาสนจักรในเมืองไทยยังคงเป็น “มิสซังสยาม” อยู่นี้ มิสซังสยามอยู่ในระบบการปกครองและบริ หารโดยมี Apostolic Vicar เป็นประมุข เราอาจจะแปลได้ว่า “รองอัครสาวก” หรือ “ผู้แทนพระสันตะปาปา” โดย Apostolic Vicar นี้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นสังฆราชของสังฆมณฑลใดสังฆมณฑลหนึ่ง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งทางการของพระศาสนจักรเวลาเดียวกันถูกถือว่าเป็นผู้ที่ถูกส่งมาในฐานะผู้แทนพระสันตะปาปาในลักษณะเช่นนี้ Apostolic Vicar จึงเป็น Titular Bishop (In Partibus Infidelium) ซึ่งหมายความว่าเป็นสังฆราช แต่ไม่ต้องประจำ ( Residence) ในท้องที่ที่ถูกกำหนดไว้ตามตำแหน่ง (สังคายนาที่เมือง Trent กำชับเรื่องนี้อย่างแข็งขัน) แต่ให้ไปทำหน้าที่เป็นผู้แทนพระสันตะปาปาแทน Title ที่ได้รับมาจึงเป็นแค่เพียงเกียรติศักดิ์เท่านั้น

เหตุผลที่สมณกระทรวง PROPAGANDA FIDE ต้องส่ง Apostolic Vicar ออกมาทำงานในลักษณะเช่นนี้ (แทนที่จะทำให้ง่าย ๆ โดยการแต่งตั้งใ ห้เป็นสังฆราชของท้องที่ที่จะส่งไปเลย ก็สิ้นเรื่อง)ก็เป็นเพราะว่า หากไม่ทำเช่นนี้ มันจะไม่สิ้นเรื่องอย่างว่า แต่จะกลายเป็นก่อเรื่องมากขึ้น เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และน่าสนใจ กผมจะขอสรุปเหตุผลให้ฟังย่อ ๆ โดยใช้ภูมิหลัง (Background) บางอย่างมาประกอบ ดังนี้

ใน ศต. ที่ 14 และ 15 แขกมุสลิม หรือ พวก เติร์ก (TURK) กำลังมีอำนาจมากและรุกรานยุโรป และเมื่อเมืองสำคัญเช่น Constantinople ถูกตีแตกในวัน ที่ 29 พ.ค. 1453 ชาวยุโรป และพระศาสนจักรเองก็เริ่มกลัวกันว่า ยุโรปจะรอดพ้นมือของพวกเติร์กหรือไม่ในยุโรปตอนนั้นก็มีเพียงประเทศ 2 ประเทศที่มีอำนาจและเข้มแข็งเพียงพอที่จะต้านทานการรุกรานของพวกแขกมุสลิมได้ ได้แก่ โปรตุเกส และสเปน นอกจากมีอำนาจและกำลังเพียงพอแล้ว ยังมีความก้าวหน้าในการสำรวจดินแดนใหม่ ๆ อีกด้วย กษัตริย์ของทั้ง 2 ประเทศ (ซึ่งเป็นประเทศคริสตัง) ต่างก็ขออำนาจจากพระสันตะปาปา ที่จะทำหน้าที่เผยแพร่ความเชื่อไปยังดินแดนที่เพิ่งค้น พบใหม่ ๆ เหล่านั้น บรรดาพระสันตะปาปาในสมัยนั้น ต่างก็เห็นถึงประโยชน์ทั้งด้านวิญญาณและด้านวัตถุด้วย ก็ได้มอบสิทธิพิเศษมากมายแก่พวกนักสำรวจของ โปรตุเกส และสเปน และมอบหมายให้ทั้ง 2 ประเทศนี้ทำหน้าที่เผยแพร่ความเชื่อในลักษณะเช่นนี้ สิทธิพิเศษเหล่านี้ทำให้ประเทศ โปรตุเกส และสเปน กุมบังเหียน การแพร่ธรรมเอาไว้ รวมทั้งยังประโยชน์ต่าง ๆ ด้วย เราเรียกกันรวม ๆ ว่า PADROADO หรือ PATRONAGE ผมขอยกตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ของสิทธิพิเศษเหล่านี้ เช่น

โปรตุเกส และ สเปน มีสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียวที่จะเผยแพร่ศาสนาคาทอลิกในดินแดนที่ค้นพบใหม่ ๆ
มีสิทธิ์กำหนดผู้ที่จะเป็นสังฆราช พระสงฆ์ ประจำตามสถานที่ต่าง ๆ มีสิทธิ์สร้าง วัดวาอารามและอื่น ๆ
ผู้ที่จะเข้ามาในดินแดนเหล่านี้ ที่ถูกค้นพบเพื่อเผยแพร่ศาสนา ต้องได้รับอนุญาตจากโปรตุเกส หรือสเปน เสียก่อน และต้องผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่

ในสถานที่ที่กำหนดไว้ เช่น โปรตุเกส กำหนดให้กรุงลิสบอนเป็นจุดตรวจ เป็นต้นและเนื่องจากทั้ง โปรตุเกส และสเปน ต่างก็เป็นมหาอำนาจด้วยกันทั้งคู่ในส มัยนั้น เพื่อมิให้ทะเลาะวิวาท และบาดหมางกันเอง โลกใบนี้ก็กว้างใหญ่ พระสันตะปาปา ALEXANDERVI จึงได้ออกกฤษฎีกา INTER CAETERA วันที่ 3 พ.ค. 1493 แบ่งโลกออกเป็น 2 ซีก โดยการขีดเส้นจากขั้วโลกหนึ่งไปยังอีกขั้วโลกหนึ่ง ซีกโลกด้านตะวันตกมอบให้ สเปน, ด้านตะวันออกมอบให้โปรตุเกส. ทั้ง โปรตุเกส และสเปน ต่างก็หวงแหนสิทธิพิเศษเหล่านี้ ซึ่งได้รับการเพิ่มพูนมากขึ้นในสมัยของพระสันตะปาปายุคต่อ ๆ มาใครจะมาล่วงล้ำต่อสิทธิพิเศษนี้ในดินแดนของต นไม่ได้ เรื่องราวของการหวงแหนสิทธิเหล่านี้มีมาจนถึง ศต. ที่ 19 แม้ในสมัยที่หมดความเป็นมหาอำนาจไปแล้วก็ตาม เราจะเห็นว่าในระบบนี้ พระสันตะปาปาสูญเสียอำนาจในการแพร่ธรรมไปอย่างมากมายในดินแดนใหม่ ๆ เพราะตกอยู่ในมือของโปรตุเกสและสเปน (ใครดูภาพยนตร์เรื่อง The Mission ก็คงจะพอเข้าใจ และเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่กรุณาอย่าเชื่อภาพยนตร์ทั้งหมดว่าเป็นเรื่องจริง) ดังนั้นหลังจากการสังคายนาสากลที่เมือง Trent ระหว่างปี 1545-1563, ทางโรมเห็นว่าระบ บนี้ไม่เหมาะสม และมีหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการแพร่ธรรม จึงหาหนทางที่จะเอาอำนาจการแพร่ธรรมกลับคืนมาและเพื่อมิให้มีข้อบาดหมางกับทั้ง 2 ประเทศนั้นด้วย ก็ต้องหาทางออกที่เหมาะสมโดยการก่อตั้งสมณกระทรวง Propaganda Fide ขึ้นมาในปี 1622 เพื่อรับผิดชอบในการแพร่ธรรมในส่วนต่าง ๆ ของโลก บังเอิญในช่วงปี 1622 นั้นประเทศโปรตุเกสกำลังอยู่ในสภาพสูญเสียความเป็นมหาอำนาจ อย่างไรก็ตาม การที่ Propaganda Fide จะทำอะไรสักอย่างเพื่อการแพ ร่ธรรม ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพื่อมิให้เกิดเรื่องขึ้นได้ เพราะอาจะไปล่วงล้ำสิทธิพิเศษต่าง ๆ เหล่านั้น การแต่งตั้งสังฆราชปกติเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิพิเศษประการหนึ่ง แต่ก็ไม่มีสิทธิพิเศษข้อใดที่ขัดแย้งกับการส่งผู้แทนพระสันตะปาปา เข้ามาดูงานในเขตดินแดนเหล่านั้นรวมทั้งในเขตที่ยังไม่ถูกยึดครองโดย โปรตุเกส และสเปน ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้คือ แต่งตั้งพระสังฆราชและมอบหมายให้เป็น Apostolic Vicar ดังกล่าวถึงกระนั้นก็ดี ทั้ง 2 ประเทศนั้นต่างก็ถือว่า บรรดา มิชชันนารีของ Propaganda Fide ได้เข้ามาล่วงล้ำสิทธิพิเศษของตน จึงไม่ยอมรับอำนาจของพระสังฆราชที่ถูกส่งมา เรื่องของเรื่องก็คือ บรรดามิชชันนารีของ Padroado และของ Propaganda Fide ก็ต้องทะเลาะกันและบาดหมางกันในทุกภาคของโลกก็ว่าได้ (สำหรับผู้ที่สนใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าศึกษาอยู่มากในมิสซังสยามเองก็มีการทะเลาะกันเรื่องนี้เช่นเดียวกัน)

ในส่วนที่เกี่ยวกับมิสซังสยาม บรรดา Apostolic Vicar ที่ทาง Propaganda Fide ส่งมาจากคณะพระสงฆ์ M.E.P. (Missions Etrangeres de Paris) ทั้ง 3 ท่านแรกคือ ฯพณฯ Lambert de La Motte , ฯพณฯ Pallu และ ฯพณฯ Ignatius Cotolendi มิได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนพระสันตะปาปาในมิสซังสยาม แต่เนื่องจากในดินแดนที่ถูกกำหนดมาคือ จีน, ตังเกี๋ยและโคจินจีน กำลังมีการเบียดเบียนศาสนา ฯพณฯ Lambert และ ฯพณฯ Pallu จึงต้องตั้งหลัก อยู่ที่อยุธยา ส่วนท่าน Cotolendi เสียชีวิตไป พระสังฆราชทั้ง 2 เห็นว่าประเทศสยามให้อิสระต่อการประกาศพระศาสนา สถานการณ์ต่าง ๆ ก็เอื้ออำนวย จึงขออนุญาตจากโรมทำงานในดินแดนนี้ รวมทั้งขอให้โรม ยกดินแดนนี้ขึ้นเป็นเขตปกครองโดยมี Apostolic Vicar เป็นประมุขดูแล ซึ่งการขอนี้ก็สำเร็จเป็นไปในปี 1669 และปี 1674 มิสซังสยามก็มี ฯพณฯ Laneau เป็น Apostolic Vicar คนแรก แน่นอนที่สุดบรรดามิชชันนารีของ Padroado ซึ่งอยู่ในสยามเวลานั้น ย่อมไม่ยอมรับอำนาจของพระสังฆราช

มิสซังสยามจึงต้องถูกนับว่าเป็นมิสซังแรกที่มีมิชชันนารี M.E.P. ได้มาทำงาน และถูกนับว่าเป็นมิสซังแรกของคณะสงฆ์คณะนี้ด้วย นอกจากนี้ที่อยุธยาเองยังเป็นแห่งแรกที่มีการจัดประชุม Synod ปี 1664 ผลของการประชุมนี้ ทำให้เกิดมีการพิมพ์คู่มือที่รวบรวมคำสั่งสอนและวิธีการแพร่ธรรมสำหรับพวกมิชชันนารีขึ้ น คู่มือนี้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นถึง 12 ครั้ง มิสซังสยามยังเป็นสถานที่แห่งแรกที่ก่อตั้งบ้านเณร หรือวิทยาลัยกลางขึ้นมาเป็นแห่งแรกของคณะ M.E.P. เพื่อผลิตพระสงฆ์พื้นเมืองขึ้นมาทำงานโดยจัดขึ้นแห่งแรกที่มหาพราหมณ์(ต่อมาย้ายไปที่อันนาม, อินเดีย และปีนัง ตามลำดับ) ในการประชุม Synod ครั้งนั้นยังได้ตกลงกันก่อนที่จะก่อตั้งคณะนักบวชพื้นเมืองที่เรียกกันว่า “คณะรักไม้กางเขน Amantes de La Croix “ ขึ้นมาด้วย โดยที่จะให้มีสมาชิก มีทั้งชาย และหญิง รวมถึง พระสงฆ์ นักบวช และฆราวาสด้วย แต่เท่าที่สามารถจัดตั้งได้ก็เป็นแค่นักบวชหญิงเท่านั้น

มิสซังสยามเจริญก้าวหน้าขึ้นมาเป็นลำดับ แม้ว่าจะมีอุปสรรคนานัปการ แต่ก็เรียกได้ว่าก้าวหน้า แม้จะเป็นความก้าวหน้าอย่างช้า ๆ ก็ตาม ในสมัยต่อ ๆ มา ก็มีการแยกมิสซังลาวออกจากมิสซังสยาม และมีการเผยแพร่ศาสนาออกไปตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศ จนในที่สุดก็มีการแบ่งการปกครองออกเป็นสังฆมณฑลต่าง ๆ ใ นปัจจุบันเราก็ยังคงเรียกกันติดปากว่า สังฆมณฑลต่าง ๆ นั้นเป็นมิสซัง เช่น เรียกสังฆมณฑลจันทบุรีว่า มิสซังจันทบุรี ซึ่งถ้าหากจะเรียกกันตามฐานะที่ถูกต้องแล้ว ก็คงจะเรียกเป็นมิสซังไม่ได้ Apostolic Vicar คนสุดท้ายของมิสซังสยาม ได้แก่ ฯพณฯ ยวง นิตโย เป็น Tilular Proshop ของ OBBA และเป็น ฯพณฯ ยวง นิตโย นี้เองที่เป็นพระอัครสังฆราชองค์แรกแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ในปี 1965 เมื่อเราเข้าใจคำว่า “มิสซังสยาม” คำนี้แล้ว ก็ควรจะหันมาสนใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง มิสซัง กับ อัครสังฆมณฑล ด้วย

ในวันที่ 18 ธ.ค. 1965 โดยอาศัยแรงสนับสนุนจาก ฯพณฯ John Gordon และฯพณฯ Angelo Pedroni สมณทูตวาติกันประจำคาบสมุทรอินโดจีน โรมได้แต่งตั้งและแบ่งแยกมิสซังสยามออกเป็นแขวงการปกครองของพระศาสนจักร 2 แขวงด้วยกัน คือแขวงกรุงเทพฯและแขวงท่าแร่-หนองแสง คำว่าแขวงนี้ใช้คำภาษาอังกฤษว่า Ecclesiastical Province หรืออาจเรียกเป็น Metropolitans ก็น่าจะได้ Metropolitan แห่งกรุงเทพฯ มีสัง ฆมณฑลอื่น ๆ ประกอบด้วย สังฆมณฑลราชบุรี, สังฆมณฑลจันทบุรี, สังฆมณฑลเชียงใหม่ ส่วน Metropolitan แห่งท่าแร่-หนองแสง มีสังฆมณฑลอื่น ๆ ประกอบด้วย สังฆมณฑลอุดรธานี, สังฆมณฑลอุบลราชธานี และสังฆมณฑลนครราชสีมา

โปรดสังเกตว่า เขตจันทบุรีถูกยกขึ้นมาเป็นสังฆมณฑลแล้ว ตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 1944 และสังฆมณฑลอุบลรา ชธานีก็อยู่ในระดับสังฆมณฑลแล้วตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 1953 สังฆมณฑลที่ถูกยกขึ้นมาในวันที่ 18 ธ.ค. 1965 จึงมีเพียง 6 สังฆมณฑลดังกล่าวข้างบนแล้ว ส่วนสังฆมณฑลนครสวรรค์ได้รับการยกขึ้น เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 1967 และสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 1969

หนังสือพิมพ์ทางการของรัฐวาติกัน (L’ OSSERVATORE ROMANO) ได้ประกาศว่าพระสันตะปาป าเปาโลที่ 6 โปรดให้สถาปนาพระฐานานุกรมในประเทศไทย (Ecclesiastical Hierarchy) ตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 1965 และในหนังสือประวัติพระศาสนจักรไทยได้กล่าวไว้ว่า ข่าวนี้ย่อมจะยังความยินดีอย่างใหญ่หลวงมาสู่ชาวคาทอลิกในประเทศไทย เป็นอันว่าพระศาสนจักรในประเทศไทยได้ย่างขึ้นสู่ระดับเดียวกันกับพระศาสนจักรในประเทศที่เจริญแล้ว แน่นอน ความยินดีนี้ย่อมต้องมีเหตุผลจึงจะดีใจกันได้ เหตุผลที่ว่านี้ก็คงไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากว่าเป็นเพราะต้องมีความแตกต่างกันระ หว่าง การปกครองมิสซังสยามโดย Apostolic Vicar กับ การปกครองของสังฆมณฑลโดยมีพระสังฆราชเป็นประมุข

การเปลี่ยนระบบการปกครองจากมิสซัง มาเป็น สังฆมณฑล หากจะให้เปรียบเทียบก็อาจเปรียบได้เหมือนกับ กรุงศรีอยุธยาที่ถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่กษัตริย์พม่าแต่งตั้งขึ้นหลังจากชนะกรุงศรีอยุธยาแล้ว กับการปกครองโดยอิสระโดยกษัตริย์ไทย การเปรียบเทียบแบบนี้อาจจะไม่ดีพอ แต่ผมยกขึ้นมา ก็เพื่อให้เข้าใจจริงขึ้นเ ท่านั้น และเพื่อให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์สักหน่อย ผมก็จะขอยกเอากฎหมายของพระศาสนจักรฉบับที่ 1983 มาแสดงถึงความแตกต่างกันนี้สักเล็กน้อย ความจริงผมน่าจะเอากฎหมายฉบับที่ 1917 มาใช้มากกว่า แต่เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย กฎหมายฉบับใหม่นี้ก็น่าจะเหมาะสมมากกว่า

[แก้] การปกครองแบบ Apostolic Vicariate และ Apostolic Prefecture

กฎหมายมาตรา 371 กล่าวไว้มีใจความว่า Apostolic Vicariate และ Apostolic Prefecture ได้แก่ส่วนที่แน่นอนส่วนหนึ่งของประชากรของพระซึ่งยังไม่ได้ถูกยกขึ้นเป็นสังฆมณฑล เนื่องจากสภาพแวดล้อมเฉพาะเจาะจง และซึ่งถูกมอบหมายให้อยู่ในการอภิบาล Apostolic Vicar หรือ Apostolic Prefect ซึ่งปกครองส่วนนี้ในนามของพระสันตะปาปา

โดยทั่ว ๆ ไปแล้วก่อนที่ดินแดนมิสซังจะกลายเป็นสังฆมณฑล ก็จะมีขบวนการดังต่อไปนี้ คือ

  • ก. จัดตั้งขึ้นเป็นมิสซัง (Mission)
  • ข. จากนั้น มิสซังจะถูกยกขึ้นเป็น Apostolic Prefecture (ในกรณีนี้ มิสซังราชบุรีได้เคยถูกยกขึ้นมาถึงขั้นนี้ โดยพระสงฆ์ ซาเลเซียน. (Salesian)
  • ค. และที่สุด จะกลายมาเป็น Apostolic Vicariate ปกครองโดย Titular Bishop

ในกฎหมายปี 1917 ( Cann. 293-311) จะกล่าวถึงฐานะทางกฎหมายของ Apostolic Vicar และ Prefect ไว้อย่างชัดเจน แต่ในกฎหมายใหม่นี้มิได้กระทำเช่นนี้ อาจเป็นเพราะการปกครองแบบนี้ในสมัยปัจจุบันเกือบจะหมดไปแล้วก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายใหม่ก็พูดถึงการทำหน้าที่ต่าง ๆ ของพวกผู้แทนพร ะสันตะปาปานี้ว่าพวกเขาจะกระทำหน้าที่ในนามของพระสันตะปาปาเอง ตามปกติแล้ว จะทำงานผ่านทางสมณกระทรวง Propaganda Fide และเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ กฎหมายมาตรา 495 และ 502 ยังสั่งให้มีสภามิสซัง (Missionary Councils) เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานแพร่ธรรมด้วย พวกผู้แทนพระสันตะปาปา มีหน้าที่ที่จะต้องมาเคารพหลุมศพ น.เปโตร และเปาโล พร้อมทั้งปรากฏตัวต่อหน้าพระสันตะปาปาตามเวลาที่กำหนด ซึ่งเรียกกันว่า Ad Limina Visit. (Can. 400 ) แต่หากไม่สามารถมาได้ ก็สามารถส่งผู้แทนซึ่งอาจเป็นคนหนึ่งคนใดที่อาศัยอยู่ที่โรมแล้วทำหน้าที่แทนได้ ส่วน Apostolic Prefect ไม่ถูกบังคับให้ทำตามกฎหมายข้อนี้ (ในกรณีของสังฆมณฑล หากสังฆราชมา Ad Limina Visit ไม่ได้ ผู้แทนจะต้องเป็นบุคคลในคณะสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในสังฆมณฑลนั้น ๆ ) ความจริงยังมีกฎหมายอีกหลายข้อ ที่กล่าวถึงบทบาทและหน้าที่ของผู้แทนพระสันตะปาปา แต่ยังไม่จำเป็นต้องกล่าวอย่างละเอียดทั้งหมด

[แก้] การปกครองแบบ สังฆมณฑล (Diocese)

อาสนวิหารอัสสัมชัญ
ขยาย
อาสนวิหารอัสสัมชัญ

กฎหมายมาตรา 369 กล่าวไว้มีใจความว่า สังฆมณฑลได้แก่ส่วนหนึ่งของประชากรของพระ ซึ่งถูกมอบหมายให้อยู่ภายใต้การอภิบาลของสังฆราช โดยความร่วมมือของคณะสงฆ์ เพื่อว่าการร่วมมือร่วมใจภายใต้นายชุมภาบาลผู้นี้ในองค์พระจิตเจ้า โดยผ่านทางพระวรสาร และศีลมหาสนิทจะเป็นการสร้างพระศาสนจักรเ ฉพาะ ในที่ซึ่งจะสามารถพบพระศาสนจักรหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์สากล และสืบจากอัครสาวก ของพระเยซูคริสตเจ้าได้

พระสังฆราชของสังฆมณฑลเป็นผู้แทนของพระศาสนจักรสากล (ไม่ใช่ของพระสันตะปาปาเท่านั้น) ทำงานร่วมกับคณะสงฆ์และมีฝ่ายงานต่าง ๆ เป็นระบบระเบียบ บทบาทและหน้าที่ของพระสังฆราชมีกำหนดไว้ในกฎหมายใหม่นี้อย่างกว้างขวางมาก จะเรียกว่า เป็นพระสันตะปาปาของสังฆมณฑลก็ไม่น่าจะผิดจากภาคปฏิบัติมากนัก

เราสามารถพูดได้ว่า การที่เขตหนึ่ง ๆ ถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับสังฆมณฑล ต้องถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะมีการปกครองที่อิสระมากกว่า มีระบบระเบียบ มีศักดิ์ศรีสูงมาก ไม่ถูกถือว่าเป็น Subdivision หรือส่วนย่อยของพระศาสนจักรสากลอีกต่อไป แต่เป็นผู้แทน หรือภาพเหมือนของพระศาสนจักรสากล

เรื่องสุดท้ายที่ผมขอพูดสั้น ๆ ก็คือ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 1965 นั่นเอง กรุงเทพฯ และ ท่าแร่-หนองแสง ได้ถูกยกขึ้นเป็น Metropolitans พระสังฆราชแห่งกรุงเทพฯ และท่าแร่-หนองแสง ถูกยกขึ้นมาเป็น อัครสังฆราช แห่งอัครสังฆมณฑล การเป็นอัครสังฆมณฑลนี้มีความสำคัญอย่างไรและมีความหมายอย่างไร และอัครสังฆมณฑลมีบทบาทและหน้าที่ต่อสังฆมณฑลอื่น ๆ ที่ประกอบอยู่ในเขต Metropolitan ของตนอย่างไร ผมขอแนะนำผู้ที่สนใจให้ไปอ่านดูวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ของคุณพ่อวิชา หิรัญญการ ซึ่งได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ความหมายของคำ ประวัติความเป็นมา หน้าที่และปัญหาที่เกิดขึ้น. วิทยานิพนธ์ เล่มนี้จะพบได้ที่ห้องสมุดสำนักพระสังฆราช (หากไม่มีก็น่าจะมีไว้) หรือมิฉะนั้นก็ต้องขอจากคุณพ่อวิชา คำว่า Metropolitan นี้ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในสังคายนาสากลที่เมือง Nicea ในปี 325 ใน Canon. ที่ 4 สิทธิและหน้าที่ในการเรียกและเป็นประธานการประชุม Synod เยี่ยมเยียนสังฆมณฑลที่อยู่ในแขวงของตน และคอยดูแลเรื่อง การเลือกสังฆราชใหม่ด้วย ในกรณีที่ตำแหน่งว่างลง อำนาจของ Metropolitan เคยมีมากจนกระทั่งว่าเกิดปัญหากับพระสันตะปาปาว่าอำนาจของ Metropolitan เป็นอำนาจเดียวกันกับของพระสันตะปาปาหรือไม่ ในที่สุดฝ่ายพระสันตะปาปาก็ชนะ และชัยชนะนี้ยังสามารถเห็นได้โดยอาศัย Pallium ซึ่งเป็นเครื่องหมายแทนอำนาจสูงสุดของพระสันตะปาปา และพระสันตะปาปาก็จะมอบอำนาจให้แก่ บรรดาพระสังฆราชโดย Pallium นี้ แน่นอนอำนาจของ Metropolitan มีมากพอสมควรทีเดียว แต่หลายครั้งอำนาจนี้ก็ถูกขัดขวางเพราะไปกระทบกระเทือนคนอื่นด้วย บางครั้งก็อาจถูกถือว่าเป็นการก้าวก่ายในงานของสังฆมณฑลอื่น ๆ เป็นต้น ในหน้า 123 ของวิทยานิพนธ์ของคุณพ่อวิชา ได้มีการเสนอแนะว่า คงจะเป็นการดีกว่าหาจะให้ Metropolitan เข้ามามีส่วนในการเลือกตั้งพระสันตะปาปาด้วย นี่ก็ย่อมแสดงว่า การที่ได้รับการยกขึ้นมาเป็น Metropolitan ต้องมีความหมายพิเศษในพระศาสนจักร

อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ได้รับเกียรตินี้คือถูกยกขึ้นมาเป็น Metropolitan มาถึง 25 ปีแล้ว ย่อมต้องมีความหมายเป็นพิเศษ สำหรับชาวเราทุกคน เราจะพูดว่า อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯเป็นแม่ของอัครสังฆมณฑลอื่น ๆ ในประเทศไทยก็ไม่ผิดอะไร นอกจากนี้ประมุขของอัครสังฆมณฑลปัจจุบันก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระคาร์ดินัล คือ พระคาร์ดินัล มีชัย กิจบุญชู อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จึงมีความสมควรด้วยประการทั้งปวง ที่จะเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี นี้อย่างมีความหมายมากที่สุด

ผมหวังว่าผู้อ่านที่ติดตามจนถึงบรรทัดนี้ คงจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ไม่มากก็น้อย สำนวนภาษาการเขียนของผมมีข้อบกพร่องมากมาย ก็ขออภัยด้วย ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในบทความนี้ ก็ขอความกรุณาจากผู้รู้ช่วยแก้ไขให้ด้วย สุดท้ายนี้เบื้องหลังแท้จริงของความเป็นมาของอัครสังฆมณฑลได้แก่ ความใจกว้าง ความเสียสละ ของบรรดามิชชันนารีทั้งหลาย ให้เรามอบคำภาวนาและน้ำใจของเราแด่พวกท่านเหล่านั้นด้วย

[แก้] เว็บไซต์อื่น


Christian cross โบสถ์คาทอลิก ใน ประเทศไทย Flag of Thailand
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ: สังฆมณฑลจันทบุรี - สังฆมณฑลเชียงใหม่ - สังฆมณฑลนครสวรรค์ - สังฆมณฑลราชบุรี - สังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี
อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง: สังฆมณฑลนครราชสีมา - สังฆมณฑลอุบลราชธานี - สังฆมณฑลอุดรธานี
ภาษาอื่น