ประวัติศาสตร์บาบิโลน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พบข้อความที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ |
ขอบคุณที่ช่วยเขียนบทความในวิกิพีเดีย แต่ทางวิกิพีเดียไม่สามารถรับบทความนี้ได้ เนื่องจากข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งที่ได้ส่งเข้ามาในหน้าบทความนี้ ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ จากแหล่งต่อไปนี้ :
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายวิกิพีเดีย กรุณาศึกษาวิธีเขียนงานโดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ หากมีข้อสงสัย ถามได้ที่ โต๊ะเลขา |
ปัจจุบันหน้าบทความนี้ถูกขึ้นบัญชีไว้ที่ วิกิพีเดีย:ปัญหาลิขสิทธิ์ โปรดงดแก้ไขหน้าบทความนี้สักระยะหนึ่ง หากผู้ถือครองลิขสิทธิ์อนุญาตให้วิกิพีเดียใช้ข้อความที่เป็นปัญหานี้ภายใต้สัญญาอนุญาตใช้งานลักษณะ GFDL แบบที่เราใช้ หรือหากคุณเองคือผู้ถือครองลิขสิทธิ์ของข้อความที่เป็นปัญหานี้ โปรดแจ้งให้เราทราบที่หน้าอภิปรายของบทความนี้ และใต้ชื่อบทความนี้ในหน้าวิกิพีเดีย:ปัญหาลิขสิทธิ์ โปรดทราบว่าการส่งงานอันมีลิขสิทธิ์เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือครองลิขสิทธิ์ นอกจากจะละเมิดกฎหมายแล้ว ยังละเมิดนโยบายของเราด้วย บุคคลที่ละเมิดนโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง อาจถูกห้ามมิให้แก้ไขบทความในสารานุกรมเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ดี ถึงแม้ข้อความที่เป็นปัญหานี้จะละเมิดลิขสิทธิ์ก็ตาม เรายังคงยินดีรับงานต้นฉบับทุกชิ้นจากคุณเสมอ หากผู้ถือครองลิขสิทธิ์ไม่อนุญาตให้ใช้ข้อความที่เป็นปัญหา โปรดเขียนบทความสั้น ๆ ที่พอใช้การได้แทนสำหรับหัวข้อนี้ ที่หน้าชั่วคราวสำหรับบทความนี้ หรือมิฉะนั้น โปรดทิ้งหน้านี้ไว้เช่นนี้ เพื่อให้ผู้ดูแลลบออกในภายหลัง กรุณาอย่าส่งข้อความที่เป็นปัญหาซ้ำอีก เพราะมันจะถูกลบออกอีกครั้ง เมื่อใดก็ตามที่วิกิพีเดียได้รับอนุญาตให้ใช้ข้อความที่เคยเป็นปัญหา บทความนี้จะถูกแก้กลับคืนเป็นเช่นเดิมก่อนได้รับแจ้งปัญหา ในกรณีที่คุณเพิ่มข้อความลงในหน้าชั่วคราว โปรดระบุการแก้ไขดังกล่าวที่หน้าอภิปรายด้วย หากไม่มีการเขียนบทความสั้นใด ๆ ในหน้าชั่วคราว หน้าบทความนี้จะถูกลบออกเมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์นับจากเมื่อหน้านี้ถูกขึ้นบัญชีที่หน้าวิกิพีเดีย:ปัญหาลิขสิทธิ์ คุณยังคงสามารถอ่านข้อความเดิมที่ถูกส่งเข้ามาได้ที่หน้าประวัติของหน้าบทความนี้ |
เมโสโปเตเมีย (กรีก: Μεσοποταμία : เมโสโปตาเมีย) เป็นคำกรีกโบราณ ตามรูปศัพท์แปลว่า "ที่ระหว่างแม่น้ำ" โดยมีนัยหมายถึง "ดินแดนระหว่างแม่น้ำ แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส" เมโสโปเตเมีย ดินแดนดังกล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ "ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์" ซึ่งเป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ ที่ทอดโค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจดอ่าวเปอร์เซีย
เมโสโปเตเมีย เป็นดินแดนที่อากาศร้อนและกันดารฝน น้ำที่ได้รับส่วนใหญ่เป็น น้ำจากแม่น้ำที่มาจากหิมะละลายในภาคฤดูร้อนบนเทือกเขาในอาร์มิเนีย น้ำจะพัดพาเอาโคลนตมมาทับถมชายฝั่งทั้งสอง ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก การเอ่อล้นของน้ำอันเกิดจากหิมะละลายไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนและบางครั้งทำความเสียหายแก่บ้านเมือง ไร่นา ทรัพย์สินและชีวิตผู้คน การกสิกรรมที่จะได้ผลดีในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต้องอาศัยระบบการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ
ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มแม่น้ำเป็นเครื่องดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาทำมาหากินในบริเวณนี้ แต่ความร้อนของอากาศก็เป็นเครื่องบั่นทอนกำลังของผู้คนที่อาศัยอยู่ทำให้คนเหล่านั้นขาดความกระตือรือร้น เมื่อมีพวกอื่นเข้ารุกรานจึงต้องหลีกทางให้ผู้ที่เข้ามาใหม่ ซึ่งเมื่ออยู่ไปนาน ๆ เข้าก็ประสบภาวะเดียวกันต้องหลีกให้ผู้อื่นต่อไป พวกที่เข้ามารุกรานส่วนใหญ่มักจะมาจากบริเวณหุบเขาที่ราบสูงทางภาคเหนือ และตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขาหินปูนไม่อุดมสมบูรณ์เท่าเขตลุ่มแม่น้ำ และยังมีพวกที่มาจากทะเลทรายซีเรียและอารเบีย เรื่องราวของดินแดนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับอารยธรรมของคนกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่มมิได้เป็นเรื่องราวของอารยธรรมที่สืบต่อกันเป็นเวลายาวนานดังเช่นอารยธรรมอียิปต์
คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนขึ้นเป็น พื้นฐานสำคัญ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยธรรม ตัวอักษร ศิลปกรรมอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ
ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
เมโสโปเตเมีย เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำไทกรีส (Tigris) และ แม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates)ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของ ประเทศอิรัก ซึ่งมีกรุงแบกแดด เป็นเมืองหลวง แม่น้ำทั้ง 2 สายมีต้นน้ำอยู่ในอาร์มีเนีย และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย
บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย มีชื่อเรียกในสมัยหนึ่งว่าชินาร์ (Shina) เกิดจากการทับถมของดินที่แม่น้ำพัดพามากล่าวคือในฤดูร้อนหิมะบนภูเขาในอาร์มีเนียละลายไหลบ่าลงมาทางใต้พัดพาเอาโคลนตมมาทับถมไว้ยังบริเวณปากน้ำทำให้พื้นดินตรงปากแม่น้ำงอกออกทุกปี โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 1 ไมล์ครึ่ง ทุกๆ ศตวรรษ ( ประมาณปีละ 29 นิ้วครึ่ง) อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย มีทิศเหนือจรดทะเลดำ และทะสาบแคสเบียน ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วยทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันตกจรดที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์ ส่วนทิศตะวันออกจรดที่ราบสูงอิหร่าน
เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย มีความอุดมสมบูรณ์เรียกว่าบาบิโลเนีย ส่วนบนซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งเรียกว่าแอสซีเรีย (Assyria) บริเวณทั้งหมดมีชนชาติหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ มีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ เมื่อชาติใดมีอำนาจก็เข้าไปยึดครองและกลายเป็นชนชาติเดียวกัน นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า ไม่มีแห่งหนตำบลใด จะมีชาติพันธุ์มนุษย์ผสมปนเปกันมากมายเหมือนที่นี่ และยังเป็นยุทธภูมิระหว่างตะวันตก กับตะวันออกตลอดสมัยประวัติศาสตร์ ดังนั้น ประวัติเรื่องราวต่างๆ ของชนชาติเหล่านี้จึงค่อนข้างสับสน
th.wikipedia.org/wiki/เมโสโปเตเมีย
..........................................................................................................................................
ศิลปะการดนตรีของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย การดนตรีมีความสัมพันธ์กับศาสนาเช่นเดียวกับอียิปต์ โดยใช้ขับกล่อมและบูชาเทพเจ้าในระยะแรก ๆ เป็นการสวดวิงวอนแบบง่าย ๆ ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นกวีนิพนธ์ ส่วนนักร้องได้พัฒนาจากการร้องเดี่ยวมาเป็นคณะนักร้องสลับกับการร้องเดี่ยวของพระ เพื่ออุทิศถวายแด่เทพเจ้าแต่ละองค์
จากการขุดสุสานโบราณได้พบเครื่องดนตรีประเภทพิณหลายชิ้น มีเค้าว่าได้พัฒนาจากคันธนูของโบราณ นอกจากนี้ ก็มีขลุ่ยอ้อ กลองสองหน้า นิยมใช้ในการประกอบพิธีกรรมและเล่นในราชสำนัก
การดนตรีของมนุษย์ในสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสตร์ต่าง ๆ เช่น ศาสนา โหราศาสตร์ ปรัชญา และคณิตศาสตร์ เป็นต้น นักวิชาการเหล่านี้เชื่อว่าความเคลื่อนไหวของดวงดาวมีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตมนุษย์ จักรวาลมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยการประสานองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เมื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล สิ่งสร้างต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ศิลปะ และการดนตรี ต่างก็เป็นส่วนสะท้อนความเป็นจริงเกี่ยวกับจักรวาลด้วย จากความคิดนี้ได้นำไปสู่ทฤษฎีการแบ่งเสียงดนตรี โดยนำหลักคณิตศาสตร์ และโหราศาสตร์มาใช้อย่างประสานกลมกลืน โดยถือเอาเลข 4 ซึ่งมาจากฤดูทั้ง 4 คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว มาเป็นหลักในการแบ่งช่วงเสียงของสายเครื่องดนตรีออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งต่อมาได้เป็นรากฐานของทฤษฎีดนตรีของยุคสมัยหลัง ๆ
http://www.sac.or.th/webboard/info/Question.php?ID=933
..........................................................................................................................................
แนวคิด อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เป็นอารยธรรมที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางวัฒนธรรม อารยะรรมที่สำคัญของโลก กล่าวคือ เป็นกลุ่มชนที่ริเริ่มและสร้างสรรค์ความเจริญไว้มากมาย อาทิเช่น ด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ อักษรศาสตร์ สถาปัตยกรรม และกฎหมายที่สำคัญต่างๆ ของโลก รวมไปถึงทำให้ทราบถึงการต่อสู้ดินแดน และเพื่ออยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เอง การสร้างหลักความเชื่อโดยมีพระหรือนักบวชเป็นผู้นำที่สำคัญ
บทนำ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ที่จะได้อภิปรายกันต่อไปนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะชนชาติที่สร้างสรรค์อารยธรรมนี้ได้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าแก่มนุษยชาติอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐ์อักษร การค้นพบดวงดาวที่สำคัญ การสร้างระบบชลประทาน หรือแม้แต่การตรากฎหมายที่สำคัญของพระเจ้าฮัมบูราบี ซึ่งรายละเอียดจะได้ร่วมกันอภิปรายต่อไปนี้
แนวความคิดของอารยธรรมสมัยเมโสโปเตเมีย 1. มนุษย์รวมตัวกันอยู่ในรูปองค์กรทางการเมือง แบบนครรัฐเป็นอันดับแรก และสามารถสร้างสรรค์ความเจริญภายใต้รูปแบบการปกครอง 2. การผลิตจนเหลือกินเหลือใช้ในชุมชนหนึ่งกับความยากไร้และแร้นแค้นในบางชุมชนก่อให้เกิดสงครามซึ่งตามมาด้วยการที่ชุมชนหนึ่ง สถาปนาอำนาจเหนือชุมชนอื่นๆ ที่พ่ายแพ้ในรูปขององค์กรทางการเมืองแบบจักรพรรดิ 3. การขยายตัวทางการเมือง และเศรษฐกิจในรูปแบบของจักรวรรดิในยุคแรกเป็นไปอย่างกว้างขวาง
ดังนั้นเราจำต้องพิจารณาปัจจัยดังกล่าวเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นของเนื้อหาเพื่อดังต่อไปนี้ด้วยคือ 1. วิเคราะห์การจัดรูปองค์กรทางการเมืองแบบแรกของโลก ความสัมพันธ์ของรูปแบบองค์กรนั้นกับความสำเร็จของชุมชนนั้น และบอกความหมายของนครรัฐได้ถูกต้อง 2. บวกสาเหตุขั้นพื้นฐานของสงครามโดยดูตัวอย่างจากความเป็นจริง ในพฤติกรรมของชุมชนโบราณ และสามารถอธิบายความหมายของจักรวรรดิได้ถูกต้อง 3. จำแนกประเภทของการรุกรานและผลของการรุกราน
อารยธรรมสมัยเมโสโปเตเมีย เมโสโปเตเมีย เป็นคำภาษากรีก แปลว่า ระหว่างแม่น้ำ ดินแดนที่ชาวกรีกเรียกว่าเมโสโปเตเมียนี้ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำไทกรีสและยูเฟรตีสเป็นส่วนหนึ่งของ "ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์" ซึ่งเป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ ที่ทอดโค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอ่าวเปอร์เซีย
เมโสโปเตเมีย เป็นดินแดนที่อากาศร้อนและกันดารฝน น้ำที่ได้รับส่วนใหญ่เป็น น้ำจากแม่น้ำที่มาจากหิมะละลายในภาคฤดูร้อนบนเทือกเขาในอาร์มิเนีย น้ำจะพัดพาเอาโคลนตมมาทับถมชายฝั่งทั้งสอง ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก การเอ่อล้นของน้ำอันเกิดจากหิมะละลายไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนและบางครั้งทำความเสียหายแก่บ้านเมือง ไร่นา ทรัพย์สินและชีวิตผู้คน การกสิกรรมที่จะได้ผลดีในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต้องอาศัยระบบการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ
ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มแม่น้ำเป็นเครื่องดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาทำมาหากินในบริเวณนี้ แต่ความร้อนของอากาศก็เป็นเครื่องบั่นทอนกำลังของผู้คนที่อาศัยอยู่ทำให้คนเหล่านั้นขาดความกระตือรือร้น เมื่อมีพวกอื่นเข้ารุกรานจึงต้องหลีกทางให้ผู้ที่เข้ามาใหม่ซึ่งเมื่ออยู่ไปนานๆ เข้าก็ประสบภาวะเดียวกันต้องหลีกให้ผู้อื่นต่อไป พวกที่เข้ามารุกรานส่วนใหญ่มักจะมาจากบริเวณหุบเขาที่ราบสูงทางภาคเหนือและตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขาหินปูนไม่อุดมสมบูรณ์เท่าเขตลุ่มแม่น้ำ และยังมีพวกที่มาจากทะเลทรายซีเรียและอารเบีย เรื่องราวของดินแดนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับอารยธรรมของคนกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่มมิได้เป็นเรื่องราวของอารยธรรมที่สืบต่อกันเป็นเวลายาวนานดังเช่นอารยธรรมอียิปต์
คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยธรรม ตัวอักษร ศิลปกรรมอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ
ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
เมโสโปเตเมียแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยโบราณคำว่าเมโสโปเตเมียเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าดินแดนระหว่างแม่น้ำที่สอง คือแม่น้ำไทกรีส (Tigris) และ ยูเฟรตีส (Euphrates) ปัจจุบันคือประเทศอิรัก มีนครหลวงคือกรุงแบกแดด แม่น้ำทั้ง 2 สายมีต้นน้ำอยู่ในอาร์มีเนีย และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย
บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย มีชื่อเรียกในสมัยหนึ่งว่าชินาร์ (Shina) เกิดจากการทับถมของดินที่แม่น้ำพัดพามากล่าวคือในฤดูร้อนหิมะบนภูเขาในอาร์มีเนียละลายไหลบ่าลงมาทางใต้พัดพาเอาโคลนตมมาทับถมไว้ยังบริเวณปากน้ำทำให้พื้นดินตรงปากแม่น้ำงอกออกทุกปี โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 1 ไมล์ครึ่ง ทุกๆ ศตวรรษ ( ประมาณปีละ 29 นิ้วครึ่ง)
อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย มีทิศเหนือจรดทะเลดำ และทะสาบแคสเบียน ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วยทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันตกจรดที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์ ส่วนทิศตะวันออกจรดที่ราบสูงอิหร่าน
เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย มีความอุดมสมบูรณ์เรียกว่าบาบิโลเนีย ส่วนบนซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งเรียกว่าแอสซีเรีย (Assyria) บริเวณทั้งหมดมีชนชาติหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ มีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ เมื่อชาติใดมีอำนาจก็เข้าไปยึดครองและกลายเป็นชนชาติเดียวกัน นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า ไม่มีแห่งหนตำบลใด จะมีชาติพันธุ์มนุษย์ผสมปนเปกันมากมายเหมือนที่นี่ และยังเป็นยุทธภูมิระหว่างตะวันตก กับตะวันออกตลอดสมัยประวัติศาสตร์ ดังนั้น ประวัติเรื่องราวต่างๆ ของชนชาติเหล่านี้จึงค่อนข้างสับสน
.......................................................................................................................................... ประวัติศาสตร์ของดินแดนแห่งนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเจริญของแต่ละแคว้นที่แยกออกจากกัน และเรื่องราวทางอารยธรรมในเมโสโปเตเมีย มีหลักฐานยืนยันทางโบราณคดีว่าเก่าแก่นานนับถึง 8,000 - 7,000 B.C. เช่น การขุดพบหมู่บ้านที่เมืองจาร์โม (Jarmo) ในอิรักใกล้แม่น้ำไทกรีส เมืองซาทาล ฮือยึค (Catal Huyl) ภายใต้ของอนาโตเลีย (ประเทศตุรกี) ซึ่งเมื่อเทียบกับอิยิปต์แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีในเมืองเก่าแก่ใกล้ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์คือที่ไฟยูม (Faiyum) มีอายุเพียง 4,500 B.C. เท่านั้น ตัวอักษรของเมโสโปเตเมียก็ปรากฎว่าใช้มานานแล้ว อาจจะก่อนอียิปต์หลายร้อยปีอีกด้วย แต่ก็ไม่ปรากฎยืนยันว่าตัวอักษรของเมโสโปเตเมียให้อิทธิพลแก่อียิปต์แต่อย่างใด
ชนชาติกลุ่มแรกที่มีอายุในสมัยหิน และเข้ามาอยู่อาศัยระหว่างหุบเขาริมแม่น้ำจอร์แดนประเทศอิรัก เรียกว่า เจริโค (Jericho) มีอายุราว 8,000 B.C. การขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดีขุดค้นซากกำแพงยาวสร้างด้วยหิน สูงถึง 12 ฟุต หนา 5 ฟุต และพบซากหอคอยซึ่งมีความสูงถึง 30 ฟุต รูปแบบการก่อสร้างแสดงอารยธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ทีใช้มาก่อสร้าง
ชนกลุ่มต่อมา คือซาทาล ฮือยึค (Catal Huyuk) มีอายุราว 7000-5000 B.C. นักโบราณคดีได้ขุดลงไปพบเมืองต่างๆ ที่ทับถมเป็นชั้นๆ ถึง 12 ชั้น และชั้นที่ 4 พบซากเมืองมีผังต่อเนื่องคล้ายเมืองใหญ่ แต่ไม่มีถนน ตัวอาคารเป็นห้องโถง มีภาพเขียนหนัง และตกแต่งปฏิมากรรมที่ทำมาจากเขาสัตว์ งานจิตรกรรมบนผนังของ ซาทาล ฮือยึค หลังจากพิสูจน์ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แล้วปรากฎว่ามีอายุราว 6,200 B.C. เป็นภาพหมู่บ้านที่อาศัยมากมาย มีภาพภูเขาไฟกำลังระเบิด สำหรับงานปฏิมกรรม เป็นรูปปั้นจากดินดำ และรูปแกะสลักจากหินชั้นเล็กๆ สูงประมาณ 2-8 นิ้ว
แม้พวกเจริโคและซาทาล ฮือยึค จะเป็นชนชาติที่ปรากฎหลักฐานว่าเก่าแก่ที่สุดในเมโสโปรเตเมีย แต่ก็เข้าใจว่ายังไม่มีอารยธรรมใดจะเป็นเครื่องยืนยันว่ามีความเจริญหลุดพ้นจากยุคหินหรือยุคโลหะมาได้ ชนชาติเก่าแก่ชาติแรกที่ปรากฎหลักฐานแสดงความเจริญรุ่งเรือง และมีอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในเมโสโปเตเมีย คือ ชนชาติซูเมอร์และบาบิโลเนีย
ปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย คือ
1. ความคิดสร้างสรรค์รักษา ปรับปรุงและสืบทอดในอารยธรรมของกลุ่มชน 6 กลุ่มคือ 1.1 สุเมเรียน (Sumerians) 1.2 อัคคาเดียน (Akkadians) 1.3 อะมอไรท์ (Amorites) 1.4 คัสไซท์ (Kassites) 1.5 อัสซีเรียน (Assyrians) 1.6 แคลเดียน (Chaldeans)
2. แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ทำให้เมโสโปเตเมียชุ่มชื้นเกิดการรวมตัวของกลุ่มชนและกำเนิดอารยธรรมเฉพาะขึ้น
3. พรมแดนธรรมชาติซึ่งมีส่วนช่วยเป็นกำแพงป้องกันศัตรูภายนอกแม้ไม่ดีเท่าแถบลุ่มน้ำไนล์ก็ตาม แต่ก็เอื้ออำนวยให้กลุ่มชนซึ่งผลัดกันขึ้นมีบทบาทในเมโสโปเตเมียสามารถใช้ประโยชน์ของพรมแดนธรรมชาตินี้กำเนิดอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้น กล่าวคือทิศเหนือจรดเทือกเขาอเมเนียทิศใต้จรดอ่าวเปอร์เซีย ทิศตะวันออกจรดแนวเทือกเขายาว ทิศตะวันตกจรดทะเลทรายอารเบียน การรวมตัวทางการเมืองของเมโสโปเตเมีย
วัฒนธรรมและความไม่สงบทางการเมือง
คนกลุ่มแรกที่สร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนสร้างขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยกรรม ตัวอักษร วรรณกรรม ศิลปกรรมอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ
ข้อควรสังเกต 1. บริเวณเมโสโปเตเมียเป็นบริเวณที่มีอากาศรุนแรง ฤดูร้อนอากาศร้อนจัด ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ฝนตกน้อย (ปีหนึ่งไม่เกิน 3 นิ้ว) ความรุนแรงของภูมิอากาศทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ขาดความกระตือรือร้น เมื่อถูกศัตรูที่แข็งแกร่งรุกรานก็หลีกทางให้ เมโสโปเตเมียจึงเป็นบริเวณที่มีชนหลายชาติหลายภาษาผลัดเปลี่ยนกันเข้ามายึดครองตลอดเวลา 2. เมโสโปเตเมียตั้งอยู่ในที่โล่ง ปราศจากกำแพงธรรมชาติที่จะป้องกันการบุกรุกจากศัตรูภายนอก ชนพวกแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณเมโสโปเตเมียคือ
ก. พวกสุเมเรียน (Sumerian) ชนพวกนี้จะสืบเชื้อสายมากจากชาติใดไม่อาจทราบชัด ทราบแต่เพียงว่า เดิมเป็นชนเผ่าพเนจร อพยพมาจากภูเขาทางทิศตะวันออก เข้าไปตั้งถิ่นฐานแถบบริเวณปากแม่น้ำทั้งสอง ก่อนเมื่อประมาณ 2900-2800 ปีก่อนคริสตกาลแล้วขยายสู่คาบสมุทร ชินาร์ (Shinar)
ข. ชาวอัคคาเดียน (Akkadians) ประวัติของพวกอัคคาเดียน ในศตวรรษที่ 24 ก่อนคริสตกาล อัคคาเดียน เป็นเซมิติคเร่ร่อนพวกแรกที่เข้ามาตั้งมั่นในดินแดนอัคคัต ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของเมโสโปเตเมีย ประมาณ ปี 2571 B.C. อัคคาเดียนภายใต้การนำของซาร์กอนมหาราช สามารถโค่นอำนาจของลูกัล ซักกิซซิผู้นำของสุเมเรียนแห่งนครรัฐอัมมาได้อัคคาเดียนปกครองเมโสโปเตเมียแทน สุเมเรียน ซาร์กอนมหาราชก่อตั้งจักรวรรดิ สุเมโร-อัคคาเดียน (The Sumero-Akkadian Empire 2371-2112 B.C. ) ขึ้นจัดเป็นจักรวรรดิแรกในเมโสโปเตเมีย และเป็นจักรวรรดิแรกของโลก อัคคัต (Agade) คือชื่อเมืองหลวงของจักรวรรดิ อำนาจของอัคคาเดียนแผ่ขยายปกครองพื้นที่จากดินแดนเปอร์เซียถึงชายฝั่งตะวันออกของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ประมาณปี 2113 ก่อนคริสตกาล อัคคาเดียนถูกรุกรานโดยอนารยชนพวกกูติ (Guti) ซึ่งเป็นชนจากดินแดนเปอร์เซียเข้ามาในเมโสโปเตเมีย โดยผ่านทางเทือกเขาซากรอส กูติปกครองเมโสโปเตเมียประมาณ 107 ปี (2113-2006 B.C.) ประมาณปี 2006 ก่อนคริสตกาล ผู้นำสุเมเรียนชื่อ Uruhagae แห่งนครรัฐ Ur ขับไล่กูติออกจากเมโสโปเตเมียได้สำเร็จ ก่อตั้งจักรวรรดิ สุเมเรียนภายใต้ชื่อว่า The Empire of Ur (2006-1950 B.C.) ทั้งนี้อารยธรรมสุเมเรียนได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พวกอีลามีดส์ (Elamites) เข้าปกครองซูเมอร์-อัคคัตช่วงสั้นก่อนการขึ้นมีอำนาจของพวกอะมอไรท์ในดินแดนบาบิโลเนียน
ค. ชาวอะมอไรท์ หรือบาบิโลเนีย (Amorites or Babylonians) ประวัติของอะมอไรท์
ประมาณปี 2000 ก่อนคริสตกาล อะมอไรท์เป็นเซมิติคเร่ร่อนจากซีเรียเข้ารุกรานดินแดนตะวันตกของอัคคัต ภายใต้การนำของฮัมมูราบี (Hummurabi 1792-1750 B.C.) กษัตริย์องค์ที่ 6 ของอะมอไรท์ ได้รวมดินแดนซูเมอร์-อัคคัตเข้าด้วยกัน ก่อตั้งจักรวรรดิบาลิโลเนียครั้งที่หนึ่งขึ้น (The First Babylonian Empire) ที่เมืองบาบิโลน (Badylon) บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรตีส เป็นเมืองหลวงสมัยของกษัตริย์ฮัมมูราบี คือยุคทองของจักรวรรดิบาบิโลน ทั้งนี้เป็นเพราะนอกจากจะทรงสามารถในการรบและการปกครองเป็นผลให้จักรวรรดิขยายกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ฮัมมูราบียังได้ปรับปรุงอารยธรรมสุเมเรียนให้ดีขึ้น จักรวรรดิบาบิโลนเริ่มเสื่อมลงเป็นลำดับภายหลังการสิ้นพระชนม์ของฮัมมูราบีเพราะ
-กษัตริย์ผู้สืบทอดต่อมาไร้ความสามารถในการปกครองและการรบ เป็นผลให้กลุ่มชนภายใต้การปกครองของอะมอไรท์ดำเนินการแยกตนเป็นอิสระ -ประมาณปี 1590 ก่อนคริสตกาล ฮิตไตท์ชนชาตินักรบจากเอเซียไมเนอร์ เข้ารุกรานมุ่งยึดกรุงบาบิโลนแต่ไม่สำเร็จ -การก่อกวนของเฮอเรีย (Hurrians) แห่งอาณาจักรมิทานมิ (Mitanni) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำยูเฟรตีส -งบประมาณปลายศตวรรษที่ 16 ก่อนคริตกาล คัสไซส์ (Kassites) อนารยชนจาก
เทือกเขาใกล้ดินแดนเปอร์เซียตะวันตกเข้ารุกรานและโค่นอำนาจอะมอไรท์ได้สำเร็จ
อารยธรรมอะมอไรท์
1. กฎหมาย อารยธรรมเด่นที่อะมอไรท์ให้แก่เมโสโปเตเมียและโลกคือ ด้านกฎหมายฮัมมูราบีทรงกำหนดให้ตรากฎหมายฮัมมูราบี (The Law Code of Hammurabi) ขึ้นจารึกด้วยอักษรคูนิฟอร์ม กฎหมายฮัมมูราบีเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก (The First Code of Law in The World or in Human History) ระบุวางระเบียบทางด้านสังคมว่าด้วยเรื่องการสมรส การหย่าร้างและมรดก เรื่องสิทธิของสตรี มรดกและการเลี้ยงดูทาส นอกจากนี้กฎหมายด้านการค้าตลอดจนวิธีการทำสัญญาต่างๆ บทลงโทษของผู้กระทำผิด นับว่ารุนแรงในลักษณะทำผิดไว้อย่างไรก็จะได้รับโทษเช่นนั้น เข้าหลักตาต่อตาฟันต่อฟัน ลักษณะกฎหมายดังกล่าวนี้โรมันรับและ ให้ความสำคัญอย่างมากในเวลาต่อมา
2. การปกครอง เพราะจักรวรรดิบาบิโลเนียนขยายกว้างในสมัยกษัตริย์ฮัมมูราบี ทางเลือกบุคคลที่มีความสามารถเข้าปฏิบัติการ ทั้งนี้เป็นเพราะทรงมุ่งสร้างความสงบและความมั่งคั่งให้แก่จักรวรรดิ
3. ศาสนา อะมอร์ไรท์ยอมรับในเทพเจ้าของสุเมเรียน แต่กำหนดให้เทพเจ้ามาร์ดุ๊กเป็นเทพเจ้าสูงสุด มีการสร้างซิกกูแรทขนาดใหญ่ที่กรุงบาบิโลนทำเป็น 7 ชั้น สูง 650 ฟุต
4. วรรณกรรม วรรณกรรมเด่นของอะมอไรท์คือ The Epic of Gilgamesh ได้เค้าเรื่องมาจากตำนาน สุเมเรียนเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วมโลก
ง. ชาวคัสไซท์ (Kassites) ประวัติของคัสไซท์
คัสไซท์เป็นอนารยชนผู้รุกรานจักรวรรดิบาบิโลเนียนของพวกอะมอไรท์ปกครองเมโสโปเตเมียประมาณ 500 ปี (1600-1100 B.C.) คัสไซท์ไม่ได้สร้างสรรอารยธรรมใหม่แต่คงรับรักษาและสืบทอดอารยธรรมสุเมเรียน-อะมอไรท์ อำนาจของคัสไซท์ต้องสิ้นสุดลงเพราะการรุกรานของพวกอัสซีเรียนซึ่งเป็นกลุ่มชนจากทางตอนเหนือของลุ่มน้ำไทกรีส
อารยธรรมคัสไซท์
เพราะคัสไซท์เป็นนักรบ สิ่งที่คัสไซท์ให้แก่เมโสโปเตเมียคือยุทธวิธีการสู้รบ รถศึกน้ำหนักเบา ม้าที่มุ่งใช้ในสนามรบ และอาวุธสำริด สิ่งเหล่านี้ฮิคโซสซึ่งเป็นอารยชน เช่น คัสไซท์ได้เป็นผู้นำเข้าไปในอียิปต์โบราณช่วงปลายสมัยอาณาจักรกลาง อันมีผลส่งต่อให้เกิดสมัยจักรวรรดิของอียิปต์โบราณ เช่น อัสซีเรียรับสิ่งที่คัสไซส์นำเข้ามา เป็นต้น เป็นผลทำให้อัสซีเรียนกลางเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ของเมโสโปเตเมียในเวลาต่อมา
จ. ชาวอัสซีเรียน (Assyrians) ประวัติของอัสซีเรียน
ประมาณปี 3000 ก่อนคริสตกาล ขณะสุเมเรียนปกครองซูเมอร์ อัสซีเรียเป็นเซมิติคได้เข้าตั้งมั่นในดินแดนทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย บนลุ่มแม่น้ำไทกรีสจากการไม่มีพรมแดนธรรมชาติช่วยป้องกันภัยทำให้อัสซีเรียมักถูกโจมตีโดยชุมชนใกล้เคียงเริ่มจากสุเมเรียน อัคคาเดียนและอะมอไรท์ เป็นต้น ขณะอยู่ภายใต้การปกครองของชนผู้เจริญเหล่านี้ อัสซีเรียได้เรียนรู้และรับอารยธรรมด้านต่าง ๆ ไว้โดยเฉพาะอารยธรรมสุเมเรียน-อะมอไรท์
ประมาณปี 1815 ก่อนคริตกาลของอะมอไรท์ปกครองเมโสโปเตเมีย ในสังคมอัสซีเรีย ปรากฎว่า Shamshi-Adas (1815-1782 B.C.) ซึ่งเป็นอะมอไรท์ได้ตั้งตนเป็นผู้นำอัสซีเรียและพยายามสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่อัสซีเรียแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ระหว่างปี 1310-1232 ก่อนคริสตกาลของคัสไซท์ปกครอง เมโสโปเตเมียนั้น จากความพร้อมและความสามารถในการรบของอัสซีเรีย ซึ่งจัดตั้งจักรวรรดิอัสซีเรียครั้งที่หนึ่งได้สำเร็จ (The First Assyrian Empire) ที่กรุงนิเนเวย์ (Nineveh)เป็นเมืองหลวง ความสามารถในการรบของอัสซีเรียเป็นที่ปรากฎ โดยสามารถกำจัดอำนาจจิตโตท์ออกจากดินแดนทางตะวันตกของลุ่มแม่น้ำยูเฟรตีสได้สำเร็จและอัสซีเรียต้องสู้รบกับกองกำลังของอียิปต์โบราณด้วยความเกรงใจกองกำลังทหารของอัสซีเรีย อียิปต์โบราณ และฮิตไตท์ได้รวมกำลังมุ่งสกัดต้านทานกำลังทหารของอัสซีเรีย อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิอัสซีเรียครั้งที่หนึ่งต้องสลายลงในปี 1232 ก่อนคริสตกาล ระหว่างปี 858-612 ก่อนคริสตกาลเป็นช่วงสมัยจักรวรรดิอัสซีเรียครั้งที่สอง (The Second Assyrian Empire) เซลมาเนเซอร์ที่ 3 (Shalmaneser 3 858-824 B.C.) เป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิครั้งนี้จากความสามารถของกษัตริย์ ความพร้อมและความสามารถของทหารยุทธวิธีในการรบและอาวุธทำจากเหล็กตลอดจนการปราบปรามศัตรูอย่างโหดร้ายทารุณเฉียบขาด เป็นผลทำให้จักรวรรดิอัสซีเรียเจริญขีดสุดในช่วงระหว่างปี 745-626 B.C. กษัตริย์อัสซีเรียในช่วงนี้ที่ควรกล่าวถึงคือ
-ซาร์กอนที่ 2 (Sargon, 2722-705 ฺB.C.) ทรงเก่งในการรบ มีชัยชนะเหนือฮิบรูแห่งอาณาจักรอิสราแอลและฮิตไตท์ ในสมัยของพระองค์นี้ปรากฎว่าแคลเดียนซึ่งเป็นกลุ่มชนในดินแดนบาบิโลนเริ่มต่อต้านอำนาจอัสซีเรีย -เซนนาเซริบ (Sennacherib. 705-681 B.C.) ทรงเป็นโอรสของซาร์กอนที่ 2 ทรงเก่งในการรบ ฮิบรูแห่งอาณาจักรยูดาห์ ยอมส่งบรรณาการในปลายสมัยของพระองค์ปรากฎว่า ฮิบรูและแคลเดียนก่อการกบฎในการปราบปรามแคลเดียนนั้นทรงสั่งให้ปล่อยน้ำจากแม่น้ำยูเฟรตีสให้ท่วมกรุงบาบิโลน -ฮีซาร์แฮดดอน (Esarhaddon. 681-669 B.C.) ทรงสั่งบูรณะกรุงบาบิโลนและจักการปกครองในดินแดนบาบิโลเนียกับมีเดียเสียใหม่และ สั่งเคลื่อนกำลังทหารบุกอียิปต์สามารถยึกเมมฟิสได้ -อัสซูบานิปาล (Ashurbanipal or Assurbanipal. 669-626 B.C.) จักรวรดิอัสซีเรียเจริญขีดสุดในสมัยของพระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์สุดท้ายจักรวรรดิอัสซีเรีย หมายถึงดินแดนเมโสโปเตเมียไปทางตะวันตกถึงอียิปต์ ซีเรีย ปาเสลไตน์ ฟินีเซียนและทางตะวันออกของเอเซียไมเนอร์ดินแดนทางตะวันออกของจักรวรรดิถึงมีเดียเรื่อยมาจรดอ่าวเปอร์เซีย ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จักรวรรดิอัสซีเรียนก็เสื่อมลงเป็นลำดับ เพราะอัสซีเรียต้องทำสงครามบ่อยครั้งทำให้ทหารเกิดความเบื่อหน่าย ในปี 616 B.C. ข้าหลวง
อัสซีเรียชาวแคลเดียนประจำกรุงบาบิโลน ชื่อนาโบโปลัสซาร์ (Nabopolassar) ได้ประกาศตั้งตนเป็นใหญ่ในบาบิโลเนียน และได้ทำให้ไมตรีกับผู้นำชาวมีดส์ (Medes) ชื่อเซซารัส (Cyaxares) ในปี 612 ก่อนคริสตกาล แคลเดียนและมีดส์ ได้รวมกำลังกันเข้าทำลายอำนาจอัสซีเรียนและยึดกรุงนิเนเวย์ได้จักรวรรดิอัสซีเรียต้องสลายลง ดินแดนของจักรวรรดิซีเรียถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน กล่าวคือทางตะวันออกนั้น แคลเดียนปกครอง โดยให้ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงบาบิโลนของอะมอไรท์ในอดีต จักรวรรดิแคลเดียนหรือบาบิโลนใหม่ (The Chaldean or New Babylonian Empie) คือชื่อจักรวรรดิที่ตั้งขึ้นอารยธรรมอัสซีเรียน
1.การปกครอง จักรวรรดิอัสซีเรียก่อตั้งขึ้นได้เพราะทหารอัสซีเรียมีระเบียบวินัยได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี มียุทธวิธีในการรบแบบใหม่โดยใช้กองทัพธนูเหล็กเป็นทัพหน้าตามด้วยกองพันทหารม้าและรถศึก อาวุธทำจากเหล็ก ขณะชาติอื่นยังใช้อาวุธทองแดงและสำริด ในการปรับปรามศัตรูนั้นอัสซีเรียทำอย่างเด็ดขาดและค่อนข้างโหดร้ายทารุณด้วยการเผาที่อยู่อาศัย ฆ่า หรือกวาดต้อนผู้แพ้มาเป็นเชลย กษัตริย์อัสซีเรียถูกเรียกว่า The Great of King or the World of King of Kings กษัตริย์เป็นผู้นำทั้งการปกครองและศาสนา จากความเก่งกล้าสามารถในการรบของอัสซีเรีย ซึ่งสามารถพิสูจน์ตนเองให้โลกได้เห็นว่าเป็นชนกลุ่มแรกในเมโสโปเตเมียที่สร้างจักรวรรดิได้ทั้งในและนอกเมโสโปเตเมีย หรือเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมโสโปเตเมีย หรือได้รับสมญานามว่าโรมันแห่งเอเซีย (The Romans of Asia) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบราชาธิปไตยและเทวาธิปไตยคือลักษณะการปกครองที่กษัตริย์อัสซีเรียใช้ในการบริหารจักรวรรดิ โดยทรงมีอำนาจเต็มในการปกครองสืบทอดต่อๆ กันมาและอ้างดำเนินการปกครองในนามเทพเจ้าอัสซูร์(Ashur) ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดของอัสซีเรีย แต่แรกนั้นทรงยอมให้ชนภายใต้การปกครองของอัสซีเรียคงสภาพการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและศาสนาของแต่ละชุมชนไว้ แต่ต้องยอมส่งบรรณาการแก่อัสซีเรีย ต่อมาด้วยเกรงการกบฎจึงจัดระเบียบการปกครองจักรวรรดิเสียใหม่โดยแบ่งจักรวรรดิออกเป็น 20 มณฑล แต่ละมณฑลมีข้าหลวงปกครองจัดดำเนินการในนามกษัตริย์อัสซีเรีย ขณะเดียวกันได้จัดตั้งคณะผู้ตรวจการทำหน้าที่สอดส่องดูแลทุกข์และ ความเป็นไปของประชาชนในจักรวรรดิรายงานต่อกษัตริย์ นอกจากนี้ทรงสนับสนุนด้วยการสื่อสารส่งข่าวและจัดระบอบการคมนาคมให้ดีขึ้น ลักษณะการบริหารจักรวรรดิของอัสซีเรียนี้กษัตริย์ดิอุสที่ 1 แห่งเปอร์เซียทรงรับไปใช้บริหารจักรวรรดิเปอร์เซียในเวลาต่อมา 2. วรรณกรรม วรรณกรรมอัสซีเรียลอกเลียนแบบ มาจากสุเมเรียน-อะมอไรท์ กษัตริย์อัสซุร์บานิปาลทรงเห็นคุณค่าของวรรณกรรมและ ศิลปกรรมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวรรณกรรมนั้น ทรงกำหนดให้รวบรวมแผ่นจารึกด้วยอักษรคูนิฟอร์มประมาณ 20,000 แผ่นนำมาเก็บไว้ที่หอสมุดที่กรุงนิเนเวย์ ปัจจุบันแผ่นจารึกเหล่านั้นถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์กรุงลอนดอน 3. ศิลปกรรม เพราะอัสซีเรียเป็นชนชาตินักรบ สนใจด้านการทหารและการต่อสู้ผลงานด้านศิลปกรรมส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกซึ่งความกล้าหาญ ทรงไว้ซึ่งอำนาจ เช่น ภาพการสู้รบและการล่าสัตว์ในแบบแกะสลักเต็มตัวและแกะสลักนูนเด่นครึ่งตัวเช่นสุเมเรียนเคยทำมา 4. ศาสนา อัสซีเรียรับอิทธิพลด้านศาสนาจากสุเมเรียน อะมอไรท์ นับจากการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ นิยมการบวงสรวง นอกจากนี้ พระสามารถทำนายอนาคตด้วยการสังเกตความเป็นไปในพิธีกรรมและปรากฎการณ์ธรรมชาติได้อีกด้วย เทพเจ้าที่สำคัญของอัสซีเรียได้แก่ Ashur คือ เทพเจ้าสูงสุด Ninurta คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม Nabu คือ เทพเจ้าแห่งการเรียนรู้ Ishtar คือ เทพเจ้าแห่งความรัก
ฉ. ชาวแคลเดียน (Chaldeans)
ประวัติของแคลเดียน
แคลเดียนเป็นเซมิติคแตกตัวออกมาจากพวกอาระเมีย (Arameans)และเข้าตั้งมัในดินแดนตอนกลางของพวกเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 100 ก่อนคริสตกาลในปี 729 ก่อนคริสตกาล แคลเดียนได้พยายามก่อการกบฎต่ออัสซีเรียหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในปี 625 B.C. ภายหลังการสิ้นสุดพระชนม์ของกษัตริย์อัสซูร์บานิปาลแห่งอัสซีเรียปรากฎว่านาโบโปลัสซาร์ผู้นำแคลเดียนได้เริ่มดำเนินการรวมแคลเดียนเข้าด้วยกันและค่อยๆ แยกตัวออกจากการปกครองของอัสซีเรียน ในปี 616 B.C. นาโบโปลัสซาร์ประกาศตัวเป็นใหญ่เหนือดินแดนบาบิโลเนียในปี 612 B.C. นาโบโปลัสซาร์และเซซารัสผู้นำมีดส์ได้สมคบกันยึดกรุงนิเนเวย์อันเป็นผลทำให้จักรวรรดิอัสซีเรีย ต้องสลายลง จักรวรรดิแคลเดียน (The Chaldean Empire or The Neo Babylonean Empire) ก่อตั้งขึ้นโดยนาโบโปลัสซาร์ ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่บาบิโลเนียมีกรุงบาบิโลนเป็นเมืองหลวง
จักรวรรพิแคลเดียนเจริญขีดสุดในสมัยกษัตริย์บูดคัดเนซาซาร์ (Nebchadnezzar. 605-563 B.C.) โอรสของนาโบโปลัสซาร์ จักรวรรดิแผ่ขยายไปทางทิศตะวันตกครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันออก อารยธรรมแคลเดียน
1. สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมเจริญขีดสุดในสมัยกษัตริย์เนบูคัดซาร์ ผลงานคือ 1.1 สวนลอย (The Hanging Garden of Badylon) สวนลอยนี้ถูกสร้างไว้บนหลังคา หลังคาถูกรองรับด้วยเสาสูง 75 ฟุต ภายในสวนปลูกไม้ดอกสวยงาม น้ำที่ใช้รดน้ำถูกลำเลียงมาจากแม่น้ำยูเฟรตีส สวยลอยนี้จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ ทรงกำหนดให้สร้างสวนลอยนี้ขึ้นเพื่อมอบให้แก่มเหสี ผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งจักวรรดิมีเดียน พระนางต้องการที่ชุ่มชื้นเย็นสบายเช่นที่มีเดียในกรุงบาบิโลน 1.2 กำแพงอิซต้า (The Ishtar Gate) เป็นแผ่นกำแพงสวยงาม ทำจากกระเบื้องหลากสี และแกะสลักเป็นภาพสัตว์ประหลาดเรียกกริฟฟิน คือมีใบหน้าและลำตัวเป็นสิงห์โตแต่มีปีกเป็นนกอินทรีย์ (Griffin) กำแพงนี้เชื่อกันว่าเป็นช่องทางนำไปสู่เทพเจ้ามาร์ดุ๊ก ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดแห่งกรุงบาบิโลน ปัจจุบันกำแพงอิซต้าถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเบอร์ลิน 2. ดาราศาสตร์ แคลเดียนรับทอดงานดาราศาสตร์จากสุเมเรียนโดยแท้จริง นาบูริแมนนู (Naburiannu) เป็นนักดาราศาสตร์ชาวแคลเดียนผู้ได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ดาริอุสที่ 1 แห่งเปอร์เซีย ในการดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผลงานที่ปรากฎคือสามารถค้นคว้านับเวลาในรอบหนึ่งได้ใกล้เคียงกับการนับเวลาในปัจจุบันมาก คือ 1 ปีมี 365 วัน 6 ชั่วโมง 15 นาที 41 วินาที 3. โหราศาสตร์ เป็นงานเด่นอีกแขนงหนึ่งของแคลเดียน ที่รับมาจากสุเมเรียน พระสามารถกำหนดดวงดาวสำคัญ 7 ดวง ได้คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์และ ดวงจันทร์ นอกจากจะกำหนดให้ดวงดาวเหล่านี้เป็นชื่อของวันต่างๆ ในหนึ่งสัปดาห์แล้วพระยังให้ความสำคัญแก่ดวงดาวเพื่อใช้ในการพยากรณ์ชะตาชีวิตมนุษย์อีกด้วย อันเป็นการวางหลักทางด้านโหราศาสตร์ให้มั่นคงกว่าในอดีต
ระยะเวลาที่ชนชาติต่างๆอาศัยในเมโสโปเตเมีย
เจริโค (Jericho) อาศัยอยู่ระหว่างหุบเขาริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน ประเทศอีรักราว 8000 B.C. ถือว่าเป็นชนชาติแรกทีเก่าแก่ที่สุดในเมโสโปเตเมีย
ซาทาล ฮือยึค (Catal Huyuk) อาศัยอยู่บริเวณอนาโตเลีย สร้างอารยธรรมเก่าแก่สมัยราว 7000-5000 B.C. ก่อนประวัติศาสตร์
สุเมเรียนและอัคคาเดียน สุเมเรียนอาศัยอยู่ตอนล่างของเมโสโปเตเมีย สร้างอารยธรรม (Sumerian and Akkadian) ขึ้นโดยเฉพาะการประดิษฐ์ตัวอักษร ทำให้เมโสโปเตเมียเข้า 3000-1600 B.C. สู่สมัยประวัติศาสตร์ และได้ให้แนวทางแก่พวกอัคคาเดียน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปของเมโสโปเตเมีย เข้ามาครอบ ครองและเจริญขึ้นแทนสุเมเรียน
อะมอไรท์ (Amorite) พวกอะมอไรท์อพยพมาจากทะเลทรายซีเรียน เข้าครอบ 1900-1600 B.C. ครอง เมโสโปเตเมีย สร้างอาณาจักรบาบิโลเนียขึ้นภายใต้ การปกครองของพระเจ้าฮัมมูราบี สมัยนี้กรุงบาบิโลเนียเป็น เมืองหลวง อาณาจักรบาบิโลเนียทางทิศตะวันออกจรดอ่าวเปอร์เซีย ทิศตะวันตกจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ฮิตไตท์และแคสไซท์ พวกฮิตไตท์ อยู่ในเอเชียไมเนอร์ ได้ขยายอาณาจักรออก (Hittite and Kassite) เป็นจักรวรรดิใหญ่ รุกรานเข้ามาในเมโสโปเตเมีย แต่ไม่ 1600-1150 B.C. ได้ยึดครองปล่อยให้พวกแคสไซท์ซึ่งอยู่ทางเทือกเขาด้านตะวันออกของแม่น้ำไทกรีสเข้ายึดครองกรุงบาบิโลน
แอสสิเรียน (Assyrian) อยู่ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย ค่อยเจริญขึ้นแทนตอน 750-612 B.C. ล่างของเมโสโปเตเมีย และกลายเป็นจักรวรรดิครั้งแรก เมื่อเข้ายึดครองกรุงบาบิโลนได้
แคลเดียน (Chaldeam) พวกแคลเดียนอยู่บริเวณทะเลทรายตอนใต้ของบาบิโลเนีย 612-538 B.C. ได้แยกตัวออกจากการปกครองของแอสสิเรียได้สำเร็จ และ มีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าเนบูชาเนซซาร์ อาณาจักรแคลเดียนสิ้นสุดลงเมื่อถูกเปอร์เซียเข้ายึดครองอินโด-ยูโรเปียน พวกอินโดยูโรเปียนอยู่ทางตอนเหนือ เข้ามามีอำนาจใน (Indo-European) เมโสโปเตเมีย ตั้งแต่ 550 B.C. โดยปราบพวกที่มีอำนาจอยู่ 550-332 B.C. ก่อนได้สำเร็จจึงสร้างอาณาจักรเปอร์เซียขึ้นขยายอำนาจปกครองในดินแดนเมโสโปเตเมียทั้งหมดรวมทั้งอียิปต์และ หัวเมืองกรีกในเอเซียไมเนอร์ เมื่อทำสงครามกับกรีก ก็ตกอยู่ ใต้การปกครองของกรีกใน ปี 332 B.C.
http://www.social.nu.ac.th/Webboard/aspboard_Question.asp?GID=456
อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ประกอบด้วยชนชาติซูเมอเรียน บาบิโลเนีย แอสสิเรีย และเปอร์เซีย ตามลำดับ เริ่มจากซูเมอเรียนและบาบิโลเนีย ชนกลุ่มนี้เป็นพวกที่วางรากฐานความเจริญด้านวัฒนธรรมไว้มากมาย พวกเขารู้จักสร้างกำแพงเมือง (อาจเป็นเพราะมีการสู้รบกันบ่อย) และทำนบกั้นน้ำ มีความสามารถในการเพาะปลูก เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนบนคือแอสสิเรีย ส่วนล่างคือบาบิโลนซึ่งอุดมสมบูรณ์กว่าตอนบน เนื่องจากในดินแดนแห่งนี้ประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ ต่างความคิด ต่างความเชื่อ จึงมีการสู้รบแย่งชิงอำนาจอยู่บ่อยครั้ง
ศิลปกรรมมีความสอดคล้องกับความเชื่อ พวกเขาเชื่อในอำนาจของพระเจ้าตามธรรมชาติ เคารพดวงดาว แม่น้ำ ปรากฎการณ์อื่นๆที่หาคำตอบไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผลด้วยเหมือนกัน
งานด้านสถาปัตยกรรม มักสร้างให้สูงใหญ่เหมือนภูเขา นิยมประดับแก้วหินในสถาปัตยกรรมนั้นๆ ด้วย สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นได้แก่ ซิกกูรัตแห่งเมืองอูร์ ประติมากรรมมีทั้งแบบนูนต่ำ นูนสูง และลอยตัว ส่วนมากเกี่ยวกับเรื่องราวกิจกรรมของพระมหากษัตริย์ มีการประดับเปลือกหอย หินสี มีความสามารถในการแสดงออกและเลือกวัสดุได้อย่างเหมาะสม งานจิตรกรรม เขียนง่ายๆไม่เน้นรายละเอียดไม่มีแสงเงา มีความคล้ายคลึงกับอิยิปต์อยู่เหมือนกันตรงการจัดวาง คือภาพหน้าคน แขน ขาจะหันข้างแต่ลำตัวหันด้านหน้า
นอกจากนี้พวกเขายังมีอักษรใช้เช่นกัน อักษรของพวกเขาเรียกว่าอักษรลิ่ม