ที่มาของการตั้งซองรับเสด็จฯ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้ |
การตั้งซองรับเสด็จ คือ รูปแบบการรับเสด็จพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งเสด็จมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยที่นิสิตชาย หญิง จะนั่งพับเพียบกับพื้นถนนทั้ง 2 ข้างทาง และก้มกราบลงที่พื้น เมื่อรถยนต์พระที่นั่งผ่าน
[แก้] ที่มาของการตั้งซองรับเสด็จฯ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2506 ยังจารึกอยู่ในความทรงจำผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือทราบเรื่องราวโดยตลอด โดยเฉพาะคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ 15.00น. วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2506 ขณะที่รถยนต์พระที่นั่ง แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน จะเลี้ยวซ้ายไปตามถนนพระราม 5 มีนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งเรียงรายรอเฝ้ารับเสด็จอยู่ ได้คุกเข่าลงและเข้าหมอบแทบประตูพระที่นั่ง ซึ่งทำให้จำต้องหยุดรถชั่วขณะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส ถามถึงความประสงค์ที่มารอดักหน้ารถพระที่นั่งครั้งนี้ ว่ามีความประสงค์อย่างไร นิสิตซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มได้กราบบังคมทูลโดยย่อ แล้วนำฎีกาขึ้นทูลถวาย เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับฎีกาแล้ว ทรงมีพระราชดำรัสแก่นิสิตเหล่านั้นเล็กน้อย แล้วรถยนต์พระที่นั่งก็เคลื่อนที่ต่อไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทโดยใกล้ชิด ดั่งเช่นทุกปีมา
ฎีกาที่กลุ่มนิสิตทูลเกล้าฯ นั้น ได้ขอพระราชทานอภัยโทษ อันสืบเนื่องมาจากสาเหตุเกิดการพิพาทกันระหว่างนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ 9 คน กับรองอธิการบดีฝ่ายปกครอง ซึ่งโดยสาเหตุอันแท้จริงนั้น ไม่อาจสืบทราบได้ถ่องแท้ เพียงแต่ทราบว่า นิสิตวิศวฯ 2 คน ถูกคัดชื่อออกจากทะเบียนมหาวิทยาลัย นอกนั้นมีความผิดหนักเบาลดหลั่นกันลงไป โดยได้รับโทษให้พักการเรียนมีกำหนดและเพิกถอนสิทธิในการสอบไล่ ซึ่งปรากฏว่าภายหลังที่ทางมหาวิทยาลัยได้ออกคำสั่งลงโทษดังกล่าวแล้ว ก็ได้มีการอุทธรณ์ การประท้วง และการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ซึ่งมีทีท่าว่าไม่อาจจะยุติลงได้ ครั้นถึงเวลาดังกล่าวข้างต้น ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เหตุการณ์อันทำท่าจะรุนแรงและลุกลามไปใหญ่โต ได้กลับคืนสู่สภาพปกติ เมื่อนิสิตทั้ง 9 คนได้ถวายฎีกาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสทรงตักเตือนนิสิตว่า
“ในการที่จะถวายฎีกานั้น จะต้องมีความนึกผิดจริง ๆ ทางใจด้วย ต้องยอมรับว่ากระทำไปแล้วเป็นความผิดจริง จึงจะให้อภัยกัน มิใช่เป็นการถวายฎีกาแต่เพียงโดยลายลักษณ์อักษร”
เมื่อรถยนต์พระที่นั่งแล่นคล้อยไป นิสิตทั้ง 9 คนก็แยกย้ายกันกลับ ไม่ตามเสด็จไปทางมหาวิทยาลัย เนื่องจากอยู่ในระหว่างลงโทษ ที่บริเวณมหาวิทยาลัยนั้นนับว่าเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัย คณบดี และคณาจารย์ ตลอดจนนิสิต ได้เฝ้ารับเสด็จฯโดยความพร้อมเพรียงกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ห้องประชุมแล้ว อธิการบดีได้กราบบังคมทูลมีใจความว่าคณะอาจารย์และนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ในการเสด็จพระราชดำเนินตามประเพณี เพื่อเป็นศิริมงคลแก่บรรดานิสิตและอาจารย์ทั้งหลาย พร้อมกันนั้นก็ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระกระแสดำรัสด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบขอบใจที่ทางมหาวิทยาลัยให้โอกาสมาในวันนี้ แล้วทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับมูลนิธิอานันทมหิดล ซึ่งมี่ความสำคัญต่อมหาวิทยาลัยอยู่มาก มีนิสิตได้รับทุนจากมูลนิธินี้หลายคน ที่ไปศึกษานอกประเทศก็มี โดยเฉพาะปีนี้ (2507) คณะอักษรศาสตร์ก็ได้รับทุนอีก 1 คน กระแสพระราชดำรัสในวันนั้น ตอนหนึ่งทรงทบทวนถึงคำกราบบังคมทูลของอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ได้กล่าวถึง ”ประเพณี” และได้ทรงพระราชทานอธิบายประเพณีเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในทางที่ถูกที่เป็นประโยชน์ ประเพณีที่ดีจึงต้องรักษาไว้และใช้กัน แต่ประเพณีที่ไม่ดีเราก็ต้องแก้ไข และการกระทำบางอย่าง จะเรียกว่าเป็นประเพณีไม่ได้นอกจากความเคยชิน เช่น การเดินขบวน เป็นต้น ซึ่งไม่ควรทำ เหตุที่ทรงนำเรื่องเดินขบวนมาเปรียบเทียบว่ามิใช่ประเพณี แต่เป็นความเคยชินและไม่ควรทำนั้นเป็นเพราะก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนินมายังมหาวิทยาลัย มีข่าวแพร่ออกมาว่า นิสิตที่ไม่เห็นชอบกับคำสั่งของมหาวิทยาลัยกรณีคัดชื่อนิสิตออกจากทะเบียน พักการเรียนมีกำหนด และเพิกถอนสิทธิการสอบไล่ จะพากันเดินขบวนคัดค้านในวันรุ่งขึ้น (21 กันยายน 2506) ทรงมีพระราชดำรัสเรื่องเดินขบวนต่อไปว่า
“แต่ก็ยังดีที่เมืองไทยยังไม่เดินขบวนมากนัก ขอให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เพราะการเดินขบวนไม่ดีหลายอย่าง นิสิตก็เพิ่มขึ้นหลายพัน ถ้าเดินขบวนก็คับถนน ยิ่งสมัยนี้มีการขุดถนนกันทั่วไปหมด ผลที่จะได้ ไม่ได้อะไรเลย การที่ถือว่านิสิตนักศึกษา ต้องมีเสรีภาพในการเดินขบวนไม่ได้ เพราะเสรีภาพนั้นต้องใช้ให้ถูก การเดินขบวนแทนที่จะเป็นเสรี เป็นการใช้เสรีภาพ กลับเป็นการผูกมัดตนเอง ล่ามโซ่ตัวเอง แบบนี้เป็นในต่างประเทศ เราอยากเป็นไท ไม่อยากเป็นทาสใคร”
ต่อจากนั้นทรงมีพระราชดำรัสให้ที่ประชุมทราบถึงกรณี ที่เกิดขึ้นหน้าตำหนักจิตรลดารโหฐาน เกี่ยวกับนิสิตทูลเกล้าฯ ถวายฏีกาพร้อมทั้งนำฎีกาออกไปให้ที่ประชุมดู รวมทั้งคำสั่งของมหาวิทยาลัย
“ฎีกานี้นิสิตทั้งหลายที่ถูกทำโทษ เขียนมารับว่าทำผิดจริง การรับว่าทำผิดนี้ แสดงว่าเขารู้ตัวว่าทำผิด คนเราทำผิดครั้งเดียวนับว่าเก่ง นิสิตพวกนี้ไม่เคยบอกว่าทำผิดมาก่อน การที่เขาทำผิดและฎีกาบอกมาวันนี้ จึงอยากจะให้อธิการบดี และคณะอาจารย์อภัยเขาเสีย เนื่องในงานวันนี้”
ภายหลังที่กระแสพระราชดำรัสให้อภัยโทษแก่นิสิตจบลง บรรดานิสิตที่มีจำนวนล้นหอประชุมและคณจารย์ ได้พากันปรบมืออยู่เป็นเวลานาน รวมทั้งอธิการบดีด้วย บรรยากาศภายในและภายนอกห้องประชุมมีแต่ความสดชื่น ร่าเริง เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษไม่มีโอกาสได้รู้เห็น ซึ่งคงจะก่อให้เกิดความปิติปราโมทย์ ยิ่งกว่าจะได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนฝูง
เมื่อเสียงปรบมืออันยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัส ต่อไปว่า
“ที่ตบมือนี้ แสดงว่านิสิตทั้งหลายเห็นด้วยที่อภัยโทษ และอธิการบดีก็ตบ (ปรบมืออีกหน) นี่ก็แสดงว่าอธิการบดี และคณะครูอาจารย์ไม่คิดสนุกที่จะตัดสินใคร ทำโทษใคร โดยไล่ออก หรือโดยทำโทษอย่างอื่น ที่จริง ก็ดีใจด้วยที่นิสิตได้รับอภัยโทษ แต่อย่าถือว่าไม่มีความผิด”
ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีต่อนิสิตจุฬาฯ ดังนั้น จึงมีการตั้งซองรับเสด็จตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา