พระรัตนธัชมุนี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถานีย่อย:ประเทศไทย
พระรัตนธัชมุนี
ขยาย
พระรัตนธัชมุนี

นครศรีธรรมราชได้ชื่อว่าเป็นเมืองนักปราชญ์มาแต่โบราณกาล ปราชญ์จากนครแห่งนี้ได้มีส่วนสร้างและผดุงสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง มีความตอนหนึ่งในด้านที่สอง บรรทัดที่ 25-31 ว่า "สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรหลวกกว่าปู่ครูใด ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา" ย่อมแสดงให้เห็นว่าแม้ในสมัยสุโขทัย นครศรีธรรมราชก็มีนักปราชญ์ผู้ฉลาดหลักแหลม ที่ได้มีส่วนผลักดันสร้างเสริมปัญญาแก่สังคมไทยแล้ว แหล่งสร้างเสริมปัญญาของนครศรีธรรมราช น่าจะเป็นวัดในบวรพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่อย่างดาษดื่นในเมืองนี้ ปราชญ์รุ่นแล้วรุ่นเล่ากำเนิดมาจากวัด ซึ่งเป็นแหล่งพัฒนาภูมิปัญญา แก่พุทธศาสนิกชนมาตามลำดับ จนทำให้นครศรีธรรมราชกลายเป็นเมืองนักปราชญ์ รัตนธัชมุนี (ม่วง) เป็นภิกษุอีกรูปหนึ่งที่ถือกำเนิดจากนครศรีธรรมราช ได้พัฒนาภูมิปัญญากุลบุตรทั้งทางโลกและทางธรรม จน เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาสมัยใหม่ ตามระบบที่รัฐบาลไทยพยายามดำเนินการให้สอดคล้องกับพัฒนาการของโลก ซึ่งในที่สุดก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมเป็น "ผู้อำนวยการศึกษามณฑลนครศรีธรรมราช"


สารบัญ

[แก้] ก่อนจะมาเป็นพระรัตนธัชมุณี

ในขณะที่พระอธิการม่วง รตนธโช เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธินั้น กระแสการจัดการศึกษา สมัยใหม่เริ่มปรากฎขึ้นในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะจัดการศึกษาตามแนวทางใหม่นี้ให้แพร่กระจายโดยเร็ว สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงรับเป็นแม่กองในการจัดการศึกษาโดยอาศัยภิกษุสงฆ์ในหัวเมืองเป็นกำลังหลัก สำหรับที่นครศรีธรรมราช พระอธิการม่วง (หรือพระรัตนธัชมุณี ในเวลาต่อมา) ได้มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาแบบใหม่ ดังปรากฎตามภารกิจต่อไปนี้


[แก้] ภารกิจของพระอธิการม่วง

พ.ศ.2432 (ร.ศ.107) พระอธิการม่วง รตนธโช ได้เข้าเผ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งตามเสด็จมาตรวจการพระศาสนาในหัวเมืองปักษ์ใต้ และ ประทับแรมที่นครศรีธรรมราช จากการเข้าเฝ้าหลายครั้งจึงเกิดความเลื่อมใสทูลขอตามเสด็จมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ทรงพระกรุณา ฯ ให้อยู่ที่วัดมกุฎกษัตริยาราม ได้บวชแปลงเป็นภิกษุธรรมยุตติกนิกาย ได้ศึกษาเล่าเรียนจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พ.ศ.2433 (ร.ศ.108) ได้เข้าสอบไล่แปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เป็นเปรียญ 4 ประโยค แต่ยังคงศึกษาเล่าเรียนอยู่ในกรุงเทพ ฯ อีกหนึ่งปี ผู้คนที่รู้จักมักคุ้นมักเรียกว่า "พระมหาม่วง"

พ.ศ.2441 (ร.ศ.117) พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ระหว่างที่ประทับแรมที่นครศรีธรรมราช พระมหาม่วงได้เข้าเฝ้า ทรงไต่ถามถึงการคณะสงฆ์ในเมืองนี้ ท่านได้ชี้แจงจนเป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัยและทรงทราบว่าเป็น"สหชาติ" (เกิดปีเดียวกัน) จึงทรงตั้งให้เป็นพระราชาคณะมีสมณศักดิ์ว่า "พระศิริธรรมมุนี" ดังพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 9 กรกฎาคม ร.ศ.117 ถึงกรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ ความตอนหนึ่งว่า ตั้งพระมหาม่วง เปรียญ 4 ประโยค ซึ่งแปลงเป็นธรรมยุตติกา เป็นพระศิริธรรมมุนีราชาคณะ พระศิริธรรมมุนีเป็นผู้รู้ยิ่งกว่าผู้อื่น ได้ตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดท่าโพธิ์ มีนักเรียนมากร้องขับสรภัญญะ ซึ่งเธอแต่งขึ้นเอง มีอัธยาศัยเรียบร้อยดีมาก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภที่จะทำนุบำรุงประชาชนทั้งหลาย ให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติและให้เอื้อเฟื้อในการที่จะศึกษาวิชาอันเป็นประโยชน์ เพื่อจะให้ถึงความเจริญขึ้นตามกัน จึงได้พระบรม ราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้จัดการตีพิมพ์หนังสือเรียนแบบหลวงขึ้น เพื่อพระราชทางแก่พระภิกษุทั้งหลายไว้สำหรับฝึกสอนกุลบุตรทั่วไป และขอให้พระภิกษุทั้งหลายช่วยเป็นธุระสั่งสอนกุลบุตรให้ได้เลื่อมใสพระรัตนตรัย และมีความรู้อันเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น พระศิริธรรมมุนีได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการการศึกษาในมณฑลนครศรีธรรมราช เมื่อ ร.ศ.117 มีหน้าที่ออกไปสำรวจทำ บัญชีวัด พระสงฆ์ สามเณร ศิษย์วัด และโรงเรียนเดิม แนะนำพระสงฆ์และฆราวาสให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นใหม่ในตำบลที่จัดตั้งขึ้นได้ และจัด พระภิกษุสามเณรให้มาเข้าเรียนในกรุงเทพ ฯ เพื่อกลับออกไปเป็นครู โรงเรียนสมัยนั้นจัดเป็น 3 ประเภท คือ

โรงเรียนเมือง มีเฉพาะแต่เมืองและตำบล โรงเรียนแขวง มีเฉพาะแขวงและตำบล โรงเรียนเชลยศักดิ์หรือโรงเรียนเอกชน ตั้งขึ้นตามความต้องการของประชาชน ไม่ได้กำหนดตามท้องที่ ถือว่าเป็นโรงเรียนใหญ่ มีประโยชน์แก่บ้านเมืองมาก ถ้าเหลือกำลังผู้จัดการจะบำรุงก็จะได้พระราชทานพระราชรัพย์ช่วยอุดหนุนตามสมควร

พ.ศ. 2442 (ร.ศ.118) พระศิริธรรมมุณีได้จัดการเปลี่ยนฐานะโรงเรียนวัดท่าโพธิ์ มาเป็นโรงเรียนหลวง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียน "สุขุมาภิบาลวิทยา" โดยมอบให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชเป็นผู้อุปถัมภ์ พระมหา ไวเป็นอาจารย์หนึ่ง พระจอมเป็นอาจารย์สอง มีนักเรียน 50 คน ได้เลือกจัดพระเณรจาดวัดต่าง ๆ มาให้เล่าเรียนกับพระมหาไว เพื่อจะได้แจกจ่ายไปให้สอนในโรงเรียนอื่น ๆ


[แก้] โรงเรียนที่จัดตั้งโดยพระศิริธรรมมุนี

พระศิริธรรมมุนีได้จัดการคณะสงฆ์ การศึกษาและการศาสนา จนเกิดผลสมพระราชประสงค์ ดังปรากฎในรายงานตรวจจัดการคณะการพระศาสนา และการศึกษาลงวันที่ 17 พฤษภาคม ร.ศ.119 วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2443 (ร.ศ.119) พระศิริธรรมมุนี ผู้อำนวยการศึกษามณฑล นครศรีธรรมราชได้รายงานผลการตรวจจัดการพระศาสนาและการศึกษาในมณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลปัตตานี จำนวน 60 กว่าหน้าถึงกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เพื่อกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวนโรงเรียนที่ท่านได้จัดตั้งขึ้นทั้งหมด 21 แห่งคือ


  • โรงเรียนสุขุมาภิบาลวิทยา (เบญจมราชูทิศ) ตั้งขึ้นที่วัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง นครศรีธรรมราช
  • โรงเรียนราษฎร์ผดุงวิทยา ตั้งขึ้นที่วัดพระนคร อำเภอเมือง นครศรีธรรมราช โดยราษฎรเรี่ยไรเงินจัดตั้ง * พระครูกาชาดเป็นผู้จัด การ ได้ส่งพระทอง พระเผือก สามเณรบึ้ง มาศึกษาที่วัดท่าโพธิ์ เพื่อไปเป็นอาจารย์ที่โรงเรียน
  • โรงเรียนไพบูลย์บำรุง ตั้งขึ้นที่วัดเสาธงทอง ตำบลบางพง แขวงอำเภอเบี้ยชัด (ปากพนัง) พระอธิการทองความรู้ไม่ถึง จึงส่งพระช่วยและพระจันไปเป็นอาจารย์ โดยนายผันผู้พิพากษาศาลแขวงซึ่งเป็นนักเรียนสวนกุหลาบ เป็นผู้แนะนำให้สอนตามแบบหลวง นายพิบูลย์สมบัติกรมการเมืองเป็นผู้อุดหนุนโรงเรียนนี้
  • โรงเรียนวัฑฒนานุกูล ตั้งขึ้นที่วัดหมาย อำเภอท่าศาลา นายเจริญ กรมการเมือง ซึ่งชอบในการศึกษามากเป็นผู้ขอตั้งโรงเรียนและ เป็นผู้อุดหนุนโดยจัดนายแก้วพนักงานเก็บเงินค่านาเป็นอาจารย์ นายแก้วรู้ภาษามคธดี แต่ภาษาไทยค่อนข้างอ่อนมาก
  • โรงเรียนกระเษตราภิสิจน์ ตั้งขึ้นที่วัดร่อนนา อำเภอร่อนพิบูลย์ โดยขุนกระเษตรพาหนะ กรมการเมืองร่อนพิบูลย์ขวนขวายให้มี โรงเรียน และพยายามโน้มน้าวจิตใจราษฎรให้อุดหนุน อธิการและพระสงฆ์ที่ไม่สู้จะยินดีในการศึกษาก็เริ่มหันมาสนับสนุน
  • โรงเรียนนิตยาภิรมย์ ตั้งขึ้นที่วัดโคกหม้อ อำเภอทุ่งสง นายเที่ยง กรมการเมืองเป็นผู้อุดหนุนได้คัดเลือกส่งพระในวัดสามรูปไปศึกษากับพระมหาไวที่วัดท่าโพธิ์เพื่อกลับไปเป็นครู โรงเรียนนี้ ข้าราชการและประชาชนมีความเลื่อมใสในการศึกษา
  • โรงเรียนวิทยาคมนาคะวงษ์ ตั้งขึ้นที่วัดวังม่วง อำเภอฉวาง นายนาก กรมการเมืองอำเภอฉวางรับปลูกอาคารและสร้างเครื่องใช้ สำหรับโรงเรียนกำนันผู้ใหญ่บ้านออกทุนอุดหนุน เกณฑ์เอาบุตรหลานผู้ใหญ่บ้านให้เข้าเรียนตามแบบหลวง พระทองเจ้า อธิการเผ็นผู้มีความสามารถและฉลาด สอนหนังสือไทยในขั้นต้นและเลขอย่างไทยได้ ได้สั่งสอนพระทองให้อ่านหนังสือ ผันอักษร เขียนตามคำบอก และวิธีเลขฝรั่งให้เข้าใจ
  • โรงเรียนบรรจงอนุกิตย์ ตั้งขึ้นที่วัดสัมพันธ์ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขุนบรรจงสารากรมการอำเภอซึ่งเป็นผู้ คล่องแคล่วในหนังสือไทยพอใช้ได้ และพอใจจะให้มีโรงเรียนขึ้น ได้รับสั่งสอนพระอธิการหนูให้เป็นอาจารย์ และโน้มน้าวให้มี ความยินดีในการศึกษา
  • โรงเรียนน้อยประดิษฐ์ผดุงผล ตั้งขึ้นที่วัดบ้านนา อำเภอลำพูน (อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี) นายน้อยกรมการเมือง รับเป็นผู้อุดหนุนเลือกพระเข้ามาศึกษาที่วัดท่าโพธิ์ และเกณฑ์กำนันผู้ใหญ่บ้านมาเล่าเรียนด้วย
  • โรงเรียนอภยาณานิวาศ ตั้งขึ้นที่วัดวัง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง พระยาอุไภยบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุงและพระอาณาจักรบริบาล ข้าหลวงผู้ช่วยราชการเมืองเป็นผู้อุดหนุน
  • โรงเรียนรองราชบริรักษ์ ตั้งขึ้นที่วัดมะขามหลวสงรองราชมนตรี กรมการเมืองเป็นผู้อุดหนุน
  • โรงเรียนเทวภักดีภูลเฉลิม ตั้งขึ้นที่วัดห้วยลึก แขวงทักษิณ (อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง) หลวงเทพภักดี กรมการอำเภอเป็นผู้ อุดหนุน เลือกพระแดงเจ้าอธิการไปศึกษาที่โรงเรียนวัดมัชฌิมาวาส อำเภอเมือง สงขลา เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์
  • โรงเรียนมหาวชิราวุธ แต่เดิมโรงเรียนนี้ตั้งขึ้นที่หน้าบ้านพระยาวิเชียร และต่อมาท่านเจ้าคุณขอร้องให้มาตั้งขึ้นในวัดมัชฌิมาวาส อำเภอเมือง สงขลา พระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้อุดหนุนพระครูวิสุทธิโมลี เจ้าคณะฝ่ายธรรมยุตติกนิกายให้การสนับสนุนเป็นธุระเอาใจใส่ดูแลอย่างดี ราษฎรมีความสนใจและตื่นตัวในด้านการศึกาามาก และครูผู้สอนก็มีความตั้งใจเต็มที่จะสอนอย่างเต็มที่
  • โรงเรียนหฤไทวิทยา ตั้งขึ้นที่วัดน้ำขาว อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา หลวงต่างใจกรมการอำเภออุดหนุน พระอ่ำยิ่งเป็นพระที่ฉลาด พอจะศึกษาเป็นครูได้ จึงได้เข้ามาช่วยสอน
  • โรงเรียนเพชรานุกูลสถิตย์ ตั้งขึ้นที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พระยาเพชราภิบาล ผู้ว่าราชการเมือง หนองจิกปลูกโรงเรียนถวายเป็นของหลวงพระท่าย พระทิม ซึ่งเคยศึกษาหนังสือไทย เลขไทย เป็นครูได้ สอนให้พระท่าย และ พระทิมทำเลขอย่างฝรั่งพอบวกลบคูณหารได้
  • โรงเรียนราชรักษุประการ ตั้งขึ้นที่วัดออก อำเภอยะหริ่ง หมื่นราชรักษ์ ผู้แทนข้าหลวงผู้ช่วยรักษาการเมืองยะหริ่งเป็นผู้อุดหนุน
  • โรงเรียนวิมลญาณพิทักษ์ ตั้งขึ้นที่วัดสักขี อำเภอสายบุรี พระครูญาณวิมล เจ้าคณะมืองสายบุรี อุดหนุน
  • โรงเรียนสุนทรวิทยาธาร ตั้งขึ้นที่วัดปตานี นรสโมสร อำเภอเมือง ปัตตานี พระใบฎีกาซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสในการศึกษารับเป็นอาจารย์ หลวงสุนทรธนารักษ์เป็นผู้อุดหนุน
  • โรงเรียนภุมมาภิสมัย ตั้งขี้นที่วัดสทิงพระ จังหวัดสงขลา หลวงภูมิเมือง (หมี สุขุม) กรมการเมืองอุดหนุน
  • โรงเรียนอุบลบริหาร ตั้งขึ้นที่วัดใหม่ อำเภอสิชล นายบัว ณ นคร (หลวงอนุสรสิทธิกรรม) กรมการเมืองเป็นผู้อุดหนุน ส่งพระ กรดไปศึกษาที่วัดท่าโพธิ์ เพื่อกลับไปเป็นครู
  • โรงเรียนทัศนาการสโมสร ตั้งขึ้นที่วัดเขาน้อย อำเภอสิชล แต่เดิมนายทัด หลานเจ้าพระยานครสร้าง* โรงเรียนขึ้นไว้หนึ่งหลัง แต่ยัง ไม่เสร็จ


[แก้] ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษา

อย่างไรก็ด พระศิริธรรมมุนีต้องประสบกับปัญหาในการจัดการศึกษาในมณฑลนครศรีธรรมราชหลายประการ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

ขาดผู้ที่สามารถจะสอนแบบหลวงที่จัดขึ้นใหม่ได้ ต้องคัดเลือกพระเณรมาศึกษาที่วัดท่าโพธิ์ เพื่อส่งกลับไปเป็นครู พระสงฆ์หรือคฤหัสถ์พอใจจะศึกษาภาษามคธมากกว่าภาษาไทย ราษฎรไม่ค่อยจะมีที่ให้การสนับสนุนในการศึกษา จะมีบ้างก็แต่พวกข้าราชการ ราษฎรมีอาชีพทำไร่ทำนา ค้าขายบ้างเล้กน้อยไม่ค่อยจะได้ใช้ปัญญาคิด จึงไม่ค่อยจะรู้จักคุณประโยชน์ของการศึกษา และเห็นว่าแม้จะมีวิชาหนังสือดีก็ยังต้องทำไร่ไถนาอยู่ร่ำไป คนรู้หนังสืออยู่บ้านนอกเอาดีไม่ได้ และเห็นว่าถ้าคนมีวิชาหนังสือดีเสียสิ้นทั้งเมืองแล้วก็คงจะไม่มีการงานทำ ราษฎรในบางท้องที่ เช่น สายบุรี ยะหริ่ง และปัตตานี ใช้ภาษามลายู จึงไม่สนใจเรียนภาษาไทย


[แก้] ผลการจัดการศึกษา

ครั้นถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน ร.ศ.122 พระศิริธรรมมุนีได้รายงานผลการตรวจการศึกษามณนครศรีธรรมราช ใน ร.ศ.121 เรื่องการศึกษาเมืองนครศรีธรรมราช มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่าภาษาไทย โรงเรียนศรีธรรมราช วัดท่าโพธิ์ พระเรือง เป็นพระอาจารย์ที่ 1 นาย ช่วงเป็นอาจารย์ที่ 2 พระหวาน พระเอื้อม เป็นอาจารย์ที่ 3 มีนักเรืยน 141 คน เดือนเมษายน ร.ศ.122 สอบไล่ได้ชั้นวิทยาลัย 59 คน สอบไล่ในชั้นประถมได้ 11 คน โรงเรียนวัดพระนคร สามเณรหมึกเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 30 คน สอบไล่ได้ชั้นวิทยาลัย 9 คน โรงเรียนร่อนพิบูลย์ พระขัน สามเณรฟอง เป็นอาจารย์ มีนักเรียน 53 คน สอบไล่ได้ชั้นวิทยาลัย 13 คน ได้ชั้น 4 ประถมศึกษา 2 คน โรงเรียนวัดเสาธงทอง พระพุ่มเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 20 คน ได้ชั้นวิทยาลัย 6 คน โรงเรียนวัดโคกหม้อ นายกล่ำเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 24 คน ได้ชั้นวิทยาลัย 3 คน โรงเรียนวัดท่าสูง พระคงเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 21 คน โรงเรียนวัดหน้าราหู พระคุกเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 28 คน ได้ชั้นวิทยาลัย3 คน โรงเรียนวัดสวนป่าน พระเผือกเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 25 คน สอบได้ชั้นวิทยาลัย 4 คน โรงเรียนวัดปากแพรก พระพุ่มเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 30 คน สอบได้ชั้นวิทยาลัย 4 คน โรงเรียนวัดม่วง พระหนูเป็นอาจารย์ มีนักเรียน 25 คน ยังไม่ได้สอบไล่

น่าสังเกตว่าในรายงานมีตารางชื่อโรงเรียน จำนวนนักเรียน อาจารย์ ผู้บำรุง และจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบ สอบได้ สอบตก ของ ทุกโรงเรียนในมณฑลนครศรีธรรมราชอย่างละเอียด วันที่ 20 เมษายน ร.ศ.128 พระศิริธรรมมุนี (พระรัตนธัชมุนี) ได้รายงานการตรวจจัดการศึกษาภาษาไทยในเมืองนครศรีธรรมราช จำนวน 10 โรง คือ

  • โรงเรียนศรีธรรมราช วัดท่าโพธิ์ ตำบลท่าซัก มีนักเรียน 203 คน ครู 6 คน
  • โรงเรียนวัดพระนคร ตำบลประตูไชยใต้ อำเภอเมือง มีนักเรียน 134 คน ครู 1
  • โรงเรียนวัดหน้าราหู ตำบลประตูไชยใต้ อำเภอเมือง มีนักเรียน 35 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนจักรานุกูล วัดป่ากิ่ว ตำบลบ้านเกาะ มีนักเรียน 51 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนกระเษตราภิสิจน์ วัดพิศาลนฤมิต อำเภอร่อนพิบูลย์ มีนักเรียน 71 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนนิตยาภิรมย์ วัดโคกหม้อ อำเภอทุ่งสง มีนักเรียน 49 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนวิทยาคมนาคะวงษ์ วัดวังม่วง อำเภอฉวาง มีนักเรียน 45 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนพิพากพิทยากรณ์ วัดเสาธงทอง อำเภอปากพนัง มีนักเรียน 40 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนวัดบางพระ ตำบลปากแพรก อำเภอปากพนัง มีนักเรียน 40 คน ครู 1 คน
  • โรงเรียนวัดท่าซอม ตำบลท่าซอม อำเภอหัวไทร มีนักเรียน 60 คน ครู 1 คน


นักเรียนในโรงเรียนทั้งสิบนี้ เมื่อสิ้นปีต้องมาสอบไล่ความรู้ที่ดรงเรียนศรีธรรมราชแห่งเดียว มีตารางบอกจำนวนผู้เข้าสอบแต่ละ โรงเรียน และจำนวนที่สอบได้ และสอบตกไว้ด้วยทุกโรงในมณฑลนครศรีธรรมราช ว้นที่ 24 พฤษภาคม ร.ศ.129 ได้รายงานการศึกษาในมณฑลนครศรีธรรมราช ปรากฎว่าในเมืองนครศรีธรรมราช มีโรงเรียนใน บำรุง ดังนี้

  • โรงเรียนศรีธรรมราช อำเภอเมือง
  • โรงเรียนวัดพระนคร อำเภอเมือง
  • โรงเรียนจักรานุกูล วัดป่ากิ่ว อำเภอเมือง (ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอพรหมคีรี)
  • โรงเรียนกระเษตราภิสิจน์ วัดพิศาลนฤมิตร อำเภอร่อนพิบูลย์
  • โรงเรียนนิตยาภิรมย์ อำเภอทุ่งสง
  • โรงเรียนวิทยาคม อำเภอฉวาง
  • โรงเรียนวัดเสาธงทอง อำเภอปากพนัง
  • โรงเรียนวัดท่าซอม อำเภอหัวไทร

ส่วนโรงเรียนนอกบำรุง คือ โรงเรียนที่เพิ่งจดตั้งขึ้นอีก 14 ตำบล เจ้าอาวาสกับนายตำบลและหมดประจำตำบลเป็นกรรมการ จัด ขึ้นและหาประโยชน์ให้แก่ครูโดยเรี่ยไรทุกเดือน มีจำนวน 15 โรง ใน ร.ศ.129 เมืองนครศรีธรรมราชทุกอำเภอมีโรงเรียนจำนวน 23 โรง ครั้น พ.ศ.2456 พระศิริธรรมมุนี นอกจากเป็นผู้ริเริ่มการจัดการศึกษาฝ่ายสามัญทั่วภาคใต้แล้ว ท่านยังตั้งโรงเรียนวิสามัญ ให้มีการ สอนวิชาช่างถมอันเป็นศิลปหัตถกรรมขึ้นที่วัดท่าโพธิ์ พ.ศ.2456 นับเป็นครั้งแรกในราชอาณาจักรโดยสละทรัพย์ส่วนตัวของท่านให้เป็น เงินเดือนครูเป็นเวลาหลายปี



[แก้] เกียรติภูมิและสมณศักดิ์

ด้วยความมุ่งมั่นมานะพยายามที่จะให้กุลบุตรในเมืองต่างๆ ของมณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี ได้มีโอกาสศึกษาเล่า เรียนตามระบบการศึกษาใหม่ที่รัฐบาลจัดขึ้น ทำให้โรงเรียนระดับต่างๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในอำเภอต่างๆ ตามลำดับ นับเป็นคุณูปการอัน สำคัญยิ่งที่พระศิริธรรมมุนี (ม่วง) ได้กระทำไว้ให้แก่ชาวปักษ์ใต้ ในขระเดียวกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เลื่อนสมณศักดิ์แก่ พระศิริธรรมมุนี (ม่วง) เป็นลำดับ ดังนี้ วันที่ 25 มกราคม 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นที่พระเทพกวี สถิต ณ วัดท่าโพธิ์ มีนิตยภัต เดือนละ 26 บาท วันที่ 10 พฤศจิกายน 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเป็นที่พระธรรมโกศาจารย์ สถิต ณ วัดท่าโพธิ์ มีนิตยภัต เดือนละ 28 บาท วันที่ 9 พฤศจิกายน 2466 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นที่พระรัตนธัชมุนี สถิต ณ วัดท่าโพธิ์ พระรัตนธัชมุนี (ม่วง) ได้มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ เดือนสิบ ขึ้น 13 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 21 กันยายน 2477 นับอายุ ได้ 82 ปี พรรษา 45 พรรษา


[แก้] อ้างอิง