ธรรมาธิปไตย หลักและวิธีคิดเพื่อแผ่นดิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นหนึ่งเดียวกับหลักธรรมาธิปไตย ๙ ธรรม ความตั้งอยู่ของกฎธรรมชาติบนความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธรรม กับ สังขตธรรม อสังขตธรรม คือธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มีความสมบูรณ์ในตัวเอง (Absolute truth) พ้นจากกฎไตรลักษณ์ จึงเป็นศูนย์กลางหรือเอกภาพของสรรพสิ่ง และเป็นธรรมาธิปไตย ส่วนสังขตธรรม คือ ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง (Relative truth) มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย เป็นสิ่งผสม เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์

สารบัญ

[แก้] หลักธรรมาธิปไตย

พระพุทธเจ้า ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟังเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองให้เป็นธรรม หรือวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิอันประเสริฐ (จักรวรรดิวัตร ๑๒) หรือหน้าที่ของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ โดยให้ถือธรรมาธิปไตย และให้ภิกษุนำไปสอนสืบต่อไม่ให้ขาดสาย (ที.ปา. ๑๑/๓๕) ความย่อดังนี้ ธรรมาธิปไตย

  1. จงอาศัยธรรมเท่านั้น
  2. สักการะธรรม
  3. ทำความเคารพธรรม
  4. นับถือธรรม
  5. บูชาธรรม
  6. ยำเกรงธรรม
  7. มีธรรมเป็นธงชัย
  8. มีธรรมเป็นยอด
  9. มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรมาธิปไตย เป็นศูนย์กลาง หรือเป็นเอกภาพของสรรพสิ่ง)

[แก้] หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (The King as the head of State or The King as the head of the Kingdom of Thailand)

ประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณกาลมา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์การเมือง และทางสังคมของประเทศไทยจะเป็นไปในทางทิศใด พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับปวงชนชาติไทยเสมอไป และได้พัฒนาขึ้นเป็นอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสร้างสรรค์สู่หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ๙ อันยิ่งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชสมภารเจ้า พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติธรรม ตรงวิถีธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ พิสูจน์ได้ดังนี้

  1. พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นเอกภาพหรือศูนย์รวมของชาติ ส่วนพสกนิกรเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย
  2. พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแผ่พระเมตตาด้วยโครงการพระราชดำริกว่า ๓,๐๐๐ โครงการ เป็นปัจจัยให้พสกนิกรซาบซึ้ง จงรักภักดีขึ้นตรงต่อพระเจ้าอยู่หัวฯ เกิดความสัมพันธ์โดยธรรมคือแผ่กระจาย กับ รวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพตามกฎธรรมชาติ รักในหลวงต้องเชิดชูธรรมาธิปไตย
  3. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันแห่งธรรม ทรงธรรม เป็นธรรมาธิปไตย จึงมีลักษณะแผ่ความเป็นธรรม แผ่พระบรมเดชานุภาพ แผ่ความถูกต้อง แผ่ความเมตตา กรุณา ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันธ์กันทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศ
  4. เป็นปฐมภูมิ คือ มีอำนาจเหนืออำนาจอื่นใดทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นต้น
  5. พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย หรือสูญหายไปไหน หรือไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ ย่อมมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ หรืออำนาจอื่นใดในประเทศ และอำนาจนั้นๆ จะต้องขึ้นตรงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เสมอไป ดุจดาวเคราะห์ต้องขึ้นต่อดวงอาทิตย์เสมอไป หรือชาวพุทธต้องขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัยเสมอไป จะเห็นได้ว่า ปัญญา หลักการ วิธีคิดจากกฎธรรมชาติในมิติธรรมาธิปไตย เป็นปัจจัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคงดุจเดียวกับธรรมาธิปไตยตามกฎธรรมชาติ

[แก้] หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน

(Popular Sovereignty) หลักการปกครองแบบสมัยใหม่ และรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ (Nation state) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาความเป็นรัฐชาติไทยขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (พ.ศ. ๒๔๓๔) เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงให้เกิดเอกภาพขึ้นแก่ประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองของประเทศหรือรัฐ แบ่งออกเป็น ๒ ด้าน ได้แก่

  1. อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คืออำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศ เป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
  2. อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข็มแข็งหรือไม่เพียงไรขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็ง อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข็มแข็งด้วยอย่างเป็นเหตุเป็นผล เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็งไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจได้โดยง่าย และนานาประเทศต้องเกรงขาม ในความเป็นเอกภาพของประชาชนในชาติ ในทางตรงกันข้าม ถ้าประเทศใด อำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน หรือเป็นของชนส่วนน้อย จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ จะถูกแทรกแซงได้ง่ายจากนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ และประเทศนั้นๆ จะเต็มไปด้วยนักการเมืองขี้โกง ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขแห่งรัฐ กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน คือเป็นลักษณะทั่วไป (Comprehensiveness) คือครอบคลุมองค์รวมทั้งประเทศ และมีความเด็ดขาด (Absoluteness) มีความถาวร (Permanence) แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) และมีลักษณะทั่วไป (General power) คือครอบคลุมอำนาจอื่นที่ต่ำกว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อันเป็นอำนาจลักษณะเฉพาะที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นอำนาจชั่วคราวตามวาระ เป็นต้น ประมุขแห่งรัฐ ย่อมมีความชอบธรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตสำคัญๆ ของชาติ ซึ่งองค์กรอำนาจอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น อำนาจในการยุติการจลาจลทางการเมือง อำนาจในการยุติสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ และการใช้อำนาจในการแก้ไขเหตุวิกฤตแห่งชาติ ทั้งนี้โดยองค์ประมุขแห่งรัฐทรงใช้อำนาจในลักษณะเป็นธรรมสูงสุด หรือธรรมาธิปไตย โดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นสิ่งสูงสุด เอกภาพของอำนาจอธิปไตยของปวงชนตามลักษณะพิเศษของประเทศไทย ได้รวมศูนย์อยู่ที่พระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (แห่งราชอาณาจักร) นั่นเอง

[แก้] หลักเสรีภาพของบุคคล (Freedom of person)

หมายถึงเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล คือเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพทางการเมือง และเสรีภาพส่วนบุคคลเอกชน เป็นเสรีภาพที่บุคคล นิติบุคคลและรัฐ ไม่ควรละเมิดเสรีภาพของประชาชน (ทุกวันนี้ผู้ไม่จบปริญญาตรีค่อนประเทศไม่มีเสรีภาพทางการเมือง ยังจะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย)

[แก้] หลักความเสมอภาค (Equality)

หมายถึง

    1. ความเสมอภาคทางการเมือง คือ ความเสมอภาคในการแสดงพฤติกรรม ต่อสังคมในการอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ อันเป็นกิจกรรมกุศลสาธารณะ
    2. ความเสมอภาคทางกฎหมาย
    3. ความเสมอภาคทางโอกาส (ทุกวันนี้ผู้ไม่จบปริญญาตรีไม่มีความเสมอภาคทั้ง ๓ ด้านดังกล่าว และตกเป็นประชาชนชั้นสอง ดุจคนต่างด้าว ยังจะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่อีกหรือ)

[แก้] หลักภราดรภาพ (Fraternity)

คือการถือว่ามวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้อยที ถ้อยอาศัย บนรากฐานของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และการให้โอกาส ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะทางอาชีพ วุฒิการศึกษา ศาสนา ความเชื่อต่างๆ (ทุกวันนี้สังคมไทยขาดความเป็นภราดรภาพเพราะระบอบการเมืองเป็นเผด็จการ)

[แก้] หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม (Unity of law)

การถือหลักเอกภาพของความหลากหลาย (Unity of diversity) ความเป็นเอกภาพคือความสามัคคีธรรมและความสันติสุขของคนในชาติ บนความแตกต่างทางวุฒิการศึกษา อาชีพ ศาสนา ลัทธิฯ ลัทธิการเมือง ความเชื่อ ค่านิยม จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้นั้น ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีหลักการปกครองที่ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ธรรมาธิปไตย ๙ เท่านั้น

[แก้] หลักดุลยภาพ (Balance law)

ดุลยภาพเป็นอีกมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ บนความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมหรือทั้งระบบในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด การตั้งอยู่ ทรงอยู่ ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพได้นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพมีลักษณะแผ่กระจาย กับ ด้านความแตกต่างหลากหลาย มีลักษณะรวมศูนย์ จึงมีลักษณะพระธรรมจักร พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นความถูกต้อง หรือสัมมาทิฏฐิ (Right view) เกิดขึ้นได้จากการตั้งปณิธานปรารถนาอย่างแรงกล้า แน่วแน่ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ จะเป็นพลังผลักดันให้เกิดความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (Insight Meditation) กระทั่งรู้แจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง อันพิสูจน์ได้ซึ่งดำรงอยู่แล้วในมนุษยชาติทุกคน จึงไม่บังคับให้เชื่อ

[แก้] หลักนิติธรรม (Rule of law)

หลักกฎหมายหรือหลักนิติธรรมอันเป็นหลัก เป็นกฎเกณฑ์แห่งความยุติธรรม ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นับแต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงถือหลักทศพิธราชธรรมมาประยุกต์ใช้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันเรื่อยมาโดยพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันจะมีหลักการ รูปแบบและวิธีการปกครองบ้านเมืองสมัยใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในความเป็นธรรมของปวงชนในทุกมิติ และหลักนิติธรรมนี้กำหนดขึ้นจากหลักคำสอนพระพุทธเจ้าและกฎธรรมชาติ โดยได้คล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือ ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ คือ หลักธรรมาธิปไตย ๙ ดังกล่าวนี้

[แก้] หมายเหตุ

ทั้งหลักนิติธรรมและหลักการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นหลักที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ทั้งบุคคลและองค์กรนั้นๆ จะเกิดความมั่นคงเจริญก้าวหน้าแบบยั่งยืน ในการแก้เหตุวิกฤตชาติง่ายนิดเดียว โดยองค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ๙ คือการสถาปนาหลักความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน ลำดับต่อมา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ คำสั่ง ประกาศ กฎกระทรวง ฯลฯ ให้สอดคล้องไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ๙ เพียงเท่านี้ ประเทศไทยก็จะผ่านพ้นจากเหตุแห่งความชั่วร้ายของประเทศลงโดยพลัน เริ่มนับหนึ่งสู่ความศิวิไลซ์อย่างยิ่งใหญ่ สู่อารยธรรมใหม่ ก้าวไกลกว่าประเทศอื่นใดในโลก “พระมหากษัตริย์ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ หลักการปกครองเป็นธรรมาธิปไตย ๙ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอถวายพระพร”