พูดคุย:สหพันธรัฐรัสเซีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เอาข้อความที่ซ่อนในหน้าหลักออกมา ข้อมูลมาจาก เว็บกระทวงต่างประเทศ http://www.mfa.go.th/web/479.php?id=395 ข้อมูลค่อนข้างไปในทางสถิติตัวเลข มากกว่าสารานุกรม

ดูข้อมูลจากด้านล่าง

เศรษฐกิจการค้า 1. ดัชนีและข้อมูลทางเศรษฐกิจ (ค.ศ. 2001) GDP 286.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเจริญเติบโต 5 % Per capita GDP 1,975 ดอลลาร์สหรัฐ ทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้ ขนสัตว์ สินแร่ ผลิตภัณฑ์ทางเกษตรกรรม ธัญพืช หัวน้ำตาล เมล็ดทานตะวัน เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม อุตสาหกรรม ครบทุกรูปแบบ อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ รถแทรคเตอร์ อุปกรณการเกษตร การสร้างเครื่องบิน อุตสาหกรรมด้านอวกาศ เครื่องมือเครื่องจักร การทำเหมือง เครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ วิทยาศาสต์ และการก่อสร้าง มูลค่าการส่งออก 51.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการนำเข้า 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าออกที่สำคัญ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ เหล็ก เคมีภัณฑ์ ตลาดส่งออกที่สำคัญ ประเทศ EU ประเทศในกลุ่ม CIS จีน ญี่ปุ่น สินค้านำเข้าที่สำคัญ เครื่องมือเครื่องจักร เคมีภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค ยา เนื้อสัตว์ น้ำตาล ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ประเทศ EU สหรัฐฯ กลุ่มประเทศ CIS ญี่ปุ่น จีน 2. เศรษฐกิจทั่วไป รัสเซียได้ดำเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจจากระบบวางแผน ส่วนกลางไปสู่ระบบเสรีนิยมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 โดยมีแนวทางที่สำคัญๆ ได้แก่ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชน (privatization)การดำเนินนโยบายปล่อยราคาสินค้าลอยตัวตามความต้องการของตลาด (trade liberalization) และการปฏิรูประบบการเงิน-การคลัง โดยมีเป้าประสงค์เพื่อนำรัสเซียให้พ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของระบบวางแผนจากส่วนกลางในสมัยสหภาพโซเวียต ในช่วงแรกของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ รัสเซียต้องประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราสูงถึงกว่าร้อยละ 2500 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1992 ขณะเดียวกันรัฐบาลประสบปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะได้จัดทำแผนเศรษฐกิจขึ้นในปี 2535 แต่แผนเศรษฐกิจดังกล่าวไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียดีขึ้น ภาวะเงินเฟ้อแม้ว่าจะมีแนวโน้ม ลดลงแต่ก็ยังมีอัตราอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันได้เกิดการขาดแคลนสินค้าในวงกว้าง และผลจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้เกิดปัญหาการว่างงานที่รุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ เศรษฐกิจโดยรวมยังขาดเสถียรภาพและด้อยประสิทธิภาพในการผลิต ผลผลิตตกต่ำในภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 รัฐบาลเริ่มใช้มาตรการเข้มงวดด้านการเงินการคลังเพื่อควบคุม ภาวะเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของเงินรูเบิล อย่างไรก็ตาม การที่รัสเซียขาดดุลงบประมาณมาโดยตลอด กอปรกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเอเชีย และราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย โดยรวมทำให้ภาวะเศรษฐกิจของรัสเซียที่กำลังฟื้นตัวกลับทรุดลง

3. วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ หลังจากได้มีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1998 แล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีคีรีเยียนโก ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดหนี้สินและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากปัญหาหลักประการหนึ่งของรัสเซียคือการมีหนี้สินต่าง ประเทศจากการกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมหาศาลจนอยู่ในระดับอันตราย กล่าวคือรัสเซียมีหนี้ต่างประเทศถึง 123.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีหนี้ภายในประเทศอีก 568 พันล้านรูเบิล (95 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งรวมถึงการที่รัฐยังคงติดค้างเงินเดือนค่าจ้างข้าราชการ แพทย์ ครู ผู้รับบำนาญ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ จนมีการประท้วงโดยทั่วไป ปัญหาอีกประการหนึ่งคือการขาดดุลงบประมาณเป็นจำนวนมากต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปี ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจของรัสเซียโดยรวม โดยนับตั้งแต่การล่มสลายของสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เมื่อปี คศ.1991 การดำเนินการจัดระบบเศรษฐกิจใหม่ยังไม่ประสบผลเต็มที่ แม้ว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะดำเนินการได้กว่าร้อยละ 70 แล้วก็ตาม แต่ภาคเอกชนรัสเซียก็ยังขาดประสิทธิภาพในการผลิต การจัดการ การตลาดและการแข่งขันที่โปร่งใส จึงทำให้ระบบเศรษฐกิจรัสเซียยังไม่เป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างแท้จริง ในขณะที่รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลมาจากภาษีสินค้าส่งออกเป็นหลัก ซึ่งไม่เพียงพอต่อรายจ่ายของรัฐบาล นอกจากนี้ ในส่วนของการบริหารงานภาครัฐเองก็มีปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่สมดุลของงบประมาณ เช่น จำนวนข้าราชการและลูกจ้างของรัฐที่มีมากเกินความจำเป็น ตลอดจนการจ่ายเงินอุดหนุนวิสาหกิจและภาคการผลิตบางประเภท จากภาวะหนี้สินดังกล่าว การจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าเป้า การที่รายได้ของรัฐจากการ ขายน้ำมันลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำลง ขณะที่รัฐบาลไม่สามารถตัดลดงบประมาณการใช้จ่ายลงได้ ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ วิกฤตการณ์ทางการเมืองในรัฐสภา ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินของรัสเซียโดยตรง ค่าของเงินรูเบิลได้อ่อนตัวลงเป็นลำดับ ทำให้รัฐบาลต้องนำเงินจาก ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศไปพยุงค่าเงินรูเบิล ทั้งนี้ ในปี 2540 รัสเซียมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศเป็นทองคำและ เงินตราต่างประเทศสูงถึง 24 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่รัฐบาลได้นำไปใช้ปกป้องค่าเงินรูเบิลในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1998 จนสิ้นปี ค.ศ. 1998 รัสเซียเหลือทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศเพียง 12. 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นมอสโกเกิดภาวะปั่นป่วน เนื่องจากนักลงทุนขาดความมั่นใจในตลาดหุ้นรัสเซียซึ่งเป็นตลาดใหม่ (emerging market) และเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1998 จากผลดังกล่าวทำให้การลงทุนในรัสเซียชะลอตัวลง ตลอดจนมีการนำเงินทุนออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอีก การหมุนเวียนของเงินตราต่างประเทศก็ลดลง และส่งผลกระทบต่อค่าเงินรูเบิลด้วย ปัญหาดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องแก้ไขโดยการออกพันธบัตรระยะสั้นและขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 150 สภาพปัญหาที่รัสเซียประสบอันมีผลมาจากความล้มเหลวในการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การผลิตและการบริหารนโยบายการคลังและการบริหารภายใน ที่ขัดแย้งกันและเต็มไปด้วยระบบผลประโยชน์นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้รัฐบาลรัสเซียได้ประกาศพักชำระหนี้ต่างประเทศและลดค่าเงินรูเบิลเมื่อวันที่17 สิงหาคม 2541 ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจนกระทั่งประธานาธิบดีเยลต์ซิน ปลดคณะรัฐมนตรีชุดนายคีรีเยนโกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2541 หลังจากนั้นประธานาธิบดีเยลต์ซินได้แต่งตั้งและปลดนายกรัฐมตรีอีก 2 ครั้ง แต่ละรัฐบาลอยู่อำนาจเพียงช่วงสั้นๆ 2-3 เดือน จึงทำให้ไม่สามารถสร้างผลงานในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้ สำหรับรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีปูตินนั้น ตั้งแต่เข้ารับหน้าที่ในเดือนสิงหาคม 2542 ได้ประสบกับปัญหากบฏแยกดินแดนเชชเนีย ทำให้รัฐบาลยังไม่มีเวลา ให้ความสนใจกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีปูตินได้แต่งตั้งนาย Viktor Kristenko นักปฏิรูปให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 ดูแลงานด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและนโยบายการเงินการคลัง แต่ภายหลังที่นายปูตินขึ้นดำรงตำแหน่งผู้รักษาการประธานาธิบดีแล้ว ก็ลดตำแหน่งนาย Kristenko ลงเหลือแค่รองนายกรัฐมนตรีดูแลงานเศรษฐกิจมหภาค และแต่งตั้งนาย Mikhail Kasyanov รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขึ้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 ดูแลงานคลัง และต่อมาเมื่อนายปูตินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเมื่อเดือนมีนาคม 2543 แล้ว ก็ได้แต่งตั้งนาย Kasyanov ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนตนเอง และให้คงดูแลงานด้านเศรษฐกิจทั้งหมด รวมทั้งปัญหาเรื่องหนี้สินด้วย 4. สถานการณ์ทางเศรษฐกิจรัสเซีย (ในช่วงปี ค.ศ. 1999) - เศรษฐกิจรัสเซียในช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ.1999 ยังคงหดตัวลงต่อเนื่องจากปี ค.ศ. 1998 โดยลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 1 (เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 4.6 ในปี ค.ศ. 1998) อัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 109.8 ทางด้านการส่งออกลดลงร้อยละ 7.8 ในขณะที่การนำเข้าลดลงถึงร้อยละ 26.5 ทำให้รัสเซียยังคงเกินดุลการค้า จำนวน 13.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (เทียบกับที่เกินดุลการค้าจำนวน 13.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลอดปี ค.ศ. 1998) ความตกต่ำทางเศรษฐกิจทำให้อัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 14.2 - สำหรับปัจจัยที่ส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งเป็นสินค้าออกที่สำคัญของรัสเซีย มีราคาสูงขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1999 และผลจากการอ่อนค่าของเงินรูเบิลอย่างมากในปีที่แล้วทำให้ผู้ผลิตในประเทศ สามารถแข่งขันได้กับสินค้านำเข้าซึ่งมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะ ในสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นต่ำ ในขณะที่ภาคการส่งออกยังคงซบเซา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการที่เงินรูเบิลที่อ่อนลงในปีที่แล้ว ไม่ได้ส่งผลช่วยให้การส่งออกเพิ่มขึ้นแต่อย่างได นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวและนักลงทุนยังขาดความมั่นใจในการเมืองและการปฏิรูปเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันในปีนี้ภาคการเกษตรประสบปัญหาความแห้งแล้ง จนรัสเซียต้องขอความช่วยเหลือทางอาหารจากต่างประเทศ - ฐานะทางการเงินของรัสเซียได้ผ่อนคลายลงมากขึ้นหลังจาก IMF อนุมัติเงินกู้จำนวน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยได้รับเงินกู้งวดแรกจำนวน 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 (นับเป็นเวลา 1 ปีภายหลังรัสเซียประสบปัญหาการเงินและประกาศพักชำระหนี้ทางการ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1998 ทำให้ IMF ระงับแผนให้เงินกู้แก่รัสเซียในขณะนั้น) ภายหลังจากได้รับเงินกู้งวดแรกจาก IMF แล้วเจ้าหนี้ Paris Club จึงยินยอมให้ปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี ค.ศ. 1999-2000 อีกทั้งธนาคารโลกจัดหาเงินกู้ให้จำนวน 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อช่วยในการปฏิรูปเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหา ภาคการธนาคารให้ได้เร็วขึ้น ในขณะที่กลุ่มเจ้าหนี้เอกชน London Club ยังคงเจรจากันต่อไป - ภายใต้เงื่อนไขการได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF ครั้งล่าสุด รัสเซียได้เริ่มพิจารณาร่างกฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนิน Fiscal Discipline และการปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทางที่ IMF กำหนด ได้แก่ การให้อำนาจธนาคารกลางในการปิดสถาบันการเงินที่มีปัญหา การให้อำนาจสถาบันปรับโครงสร้างภาคธนาคาร (ARKO) การปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและการลงโทษผู้ละเมิดภาษี การเพิ่มภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย และเพิ่มภาษีน้ำมันโดยเพิ่มการเก็บภาษีเป็นรายจุดขาย ในส่วนของธนาคารกลางมีการพิจารณาให้อำนาจในการออกตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อให้ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกิน (อันเป็นผลจากการเร่งพิมพ์เงินรูเบิลเพื่อชำระหนี้รัฐบาลในช่วงก่อนหน้านี้) ร่างกฎหมายเหล่านี้ผ่านสภาและได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายในเวลาต่อมา - ในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน ธนาคารกลางได้สั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการ ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ Inkombank, Menetap และ Imperial Bank และให้ ARKO พิจารณแผนปรับโครงสร้างหนี้ของแต่ละธนาคารที่อยู่ใน list ว่ารายได้เข้าข่ายต้องปิดกิจการหรือไม่ 5. ปัญหาเรื่องหนี้สินของรัสเซีย - ในปัจจุบัน รัฐบาลรัสเซียประสบปัญหาด้านงบประมาณอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจ และเงินสวัสดิการต่างๆ ที่ค้างชำระเป็นเวลานานได้ รวมทั้งไม่สามารถชำระหนี้ต่างประเทศได้ตามกำหนด อันเป็นสาเหตุให้รัฐบาลรัสเซียประกาศพักการชำระหนี้ (moratorium) ตราสารในสกุลรูเบิลเป็นเวลา 90 วัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1998 พร้อมกับประกาศลดค่าเงินรูเบิลด้วย - รัสเซียประกาศว่า รัสเซียไม่สามารถชำระหนี้ที่ถึงกำหนดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1998 และในปี ค.ศ. 1999 ได้ทั้งหมด โดยในปี ค.ศ. 1999 รัฐบาลสามารถจัดสรรเงินเพื่อจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนดชำระในปี ค.ศ.1999 จำนวน 17.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้เพียง 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลรัสเซียจึงต้องเปิดการเจรจากับเจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อขอผลัดการชำระหนี้บางส่วนและเลื่อนกำหนดการใช้หนี้ออกไป ทั้งนี้ รัสเซีย จะต้องเจรจาเรื่องหนี้ในกรอบต่างๆ ดังนี้ - ในกรอบของ London Club ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ภาคเอกชน และหนี้ของรัสเซียในกรอบ นี้ส่วนหนึ่งเป็นหนี้ที่รัสเซียรับช่วงจากหนี้สินสมัยเป็นสหภาพโซเวียต ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1997 เป็นตราสาร PRIN และ LAN ซึ่งมีมูลค่า 26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อมารัสเซียได้แจ้งแก่ London Club ว่าไม่สามารถชำระหนี้ที่ครบกำหนดในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1999 จำนวน 940 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ โดยขอ roll over หนี้ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งทาง London Club ได้ตกลงให้มีการปรับโครงสร้างหนี้และได้ตั้งคณะกรรมการศึกษาความสามารถชำระหนี้ของรัสเซียในระยะ 3-5 ปี การเจรจาในส่วนของ London Club เป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากหนี้ของรัสเซียที่มีต่อเจ้าหนี้เอกชนมีลักษณะเป็นตราสารซึ่งมีการ ซื้อขายและถือครองโดยนักลงทุนและสถาบันการเงินต่างๆ จำนวนมาก ทำให้ยากต่อการตกลงเรื่องผลประโยชน์ระหว่างเจ้าหนี้ - ในกรอบ Paris Club ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ภาครัฐบาล รัสเซียได้เสนอขอปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 1999 และ 2000 จำนวน 16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯจากหนี้ที่มีต่อ Paris Club ทั้งหมด 40 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะขอให้ Paris Club ยกเลิกหนี้ให้บางส่วน ภายหลังที่ IMF ตกลงให้เงินกู้แก่รัสเซียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1999 ส่งผลให้เจ้าหนี้กลุ่ม Paris Club ตกลงผ่อนผันหนี้ที่ครบกำหนดในปี 1999-2000 จำนวน 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้แก่รัสเซียไปอีก 15 ปี โดยให้รัสเซียจ่ายดอกเบี้ยสำหรับปี 1999 และ2000 รวมกันเพียง 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ที่เหลือทั้งหมดกับกลุ่ม Paris Club จำนวน 38 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กำหนดมีขึ้นปลายปี 2000 รัฐบาลรัสเซียสมัยนายกรัฐมนตรี Stepashin ก่อนถูกปลดประสบความสำเร็จในการเจรจาให้ IMF ปล่อยเงินกู้จำนวน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้เป็นผลสำเร็จ แต่การที่รัฐบาล รัสเซียชุดปัจจุบันภายใต้ประธานาธิบดีปูตินประสบปัญหาเชชเนีย ทำให้รัฐบาลประสบปัญหาในการจัดทำงบประมาณประจำปี เนื่องจากรัฐบาลต้องใช้จ่ายทางด้านทหารเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกระทั่ง IMF ขู่ว่าจะระงับการให้ความช่วยเหลือแก่รัสเซีย หากพบว่ารัสเซียนำเงินงบประมาณมาใช้จ่ายด้านการทหารมากเกินความจำเป็น แทนที่จะนำเงินไปใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 6. ความช่วยเหลือของ IMF และ World Bank รัสเซียเข้าเป็นสมาชิก IMF เมื่อปี ค.ศ. 1992 หลังจากการล่มสลายของระบบ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้ 1 ปี เนื่องจากจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางการเงินและเทคนิคจาก IMF เพื่อปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากสังคมนิยมเป็นทุนนิยม ในปี ค.ศ. 1995 รัสเซียได้รับอนุมัติ Stand by Credit จำนวน 6,304 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อและการวางระบบการเงินและการคลัง ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 รัสเซียได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่องจาก IMF ตามโครงการ Extended Fund Facility - EFF ซึ่งเป็นโครงการระยะกลางประมาณ 3 ปี สำหรับประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับดุลการชำระเงิน โดยมีเงินกู้จำนวน 10,087 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และแบ่งเป็นระยะเวลาการจ่ายเงินและการประเมินผลความคืบหน้าทุกๆ 1 ปี เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 และสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1998 เพื่อใช้จ่ายในการสร้างเสถียรภาพทางการเงินและการคลังของภาครัฐและปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ รัสเซียได้รับเงินช่วยเหลือตามโครงการดังกล่าวงวดแรกจำนวนประมาณ 4,098 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1996 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นโครงการ และงวดที่สองในปี ค.ศ.1997 จำนวนประมาณ 3,467 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน IMF ได้ท้วงติงรัสเซียในการจัดทำงบประมาณที่เกินดุลจำนวนมาก รวมทั้งระบบการจัดเก็บภาษีและการบริหารงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่อนุมัติปล่อยเงินกู้งวดถัดไปจำนวน 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากไม่พอใจในการดำเนินการของรัฐบาลรัสเซีย จนกระทั่งรัสเซียเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินขึ้น ทำให้เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 IMF ธนาคารโลก และญี่ปุ่นได้ตกลงให้รัสเซียกู้เงินจำนวน 22,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีกำหนดเวลา 2 ปี โดยในปี ค.ศ. 1998 รัสเซียจะได้รับเงินกู้จำนวน 14,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะได้รับส่วนที่เหลือ ในปี ค.ศ. 1999 เงินกู้จำนวน 22,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้แบ่งเป็นเงินกู้จาก IMF 15,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากธนาคารโลก 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจากรัฐบาลญี่ปุ่น 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ IMF ได้ปล่อยเงินกู้งวดแรกจำนวน 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้แก่รัสเซียกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 และเดิมสัญญาว่าจะปล่อยเงินกู้งวดที่สองจำนวน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1998 แต่ IMF ได้ระงับการปล่อยเงินกู้เนื่องจากเห็นว่ารัสเซียไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ไปตามแนวทางที่ IMF พอใจ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.1999 จึงได้ประกาศอนุมัติเงินกู้จำนวน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้แก่รัสเซีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของนายกรัฐมนตรี Stepashin ของรัสเซีย ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นการตอบแทนที่รัสเซียยินยอมให้นาโตใช้ปฏิบัติการทางทหารแก้ไขในปัญหาโคโซโว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1999 IMF ตัดสินใจชะลอการปล่อยเงินกู้จำนวน 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากโครงการเงินกู้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ IMF อนุมัติเมื่อเดือนกรกฎาคม 1999 ออกไปอีก ซึ่งในกรณีของรัสเซียนั้น เงินดังกล่าวจะใช้ชำระหนี้เก่าที่ค้างกันอยู่กับ IMF โดย IMF อ้างสาเหตุการชะลอการปล่อยเงินกู้ว่าเนื่องจากยังมีปัญหาโครงสร้างอีกหลายอย่าง ที่รัสเซียยังไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จตามเงื่อนไขของ IMF อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นแรงกดดันจากประเทศตะวันตกมากกว่า เนื่องจากไม่พอใจการที่รัสเซียใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าแก้ไขปัญหาเชชเนีย ในขณะที่ IMF ดูแลเรื่องการเงินการคลังเป็นสำคัญ World Bank จะรับผิดชอบปัญหาด้านโครงสร้างระบบเศรษฐกิจทั้งในส่วนของเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาค ได้แก่ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structure Adjustment) การปฏิรูปหรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปัจจุบัน World Bank มีโครงการที่รับผิดชอบหรือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและปฏิรูประบบการบริหารในรัสเซียกว่า 40 โครงการ โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ น้ำมันและไฟฟ้า ส่วนโครงการที่เกี่ยวกับการปฏิรูประบบการบริหารงานของภาครัฐ จะเป็นการให้คำแนะนำ ทางด้านระบบการจัดเก็บภาษี ระบบการจ่ายเงินสวัสดิการและเงินเดือน เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินงานเป็นไปด้วยดี ยกเว้นแต่ การแปรรูปวิสาหกิจรถไฟ การเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางบก ตลอดจนการแก้ไขกฎหมายที่ดินและกฎหมายคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่ง World Bank ได้ทำการศึกษาและเสนอแนะให้รัฐบาลทำการแก้ไข ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหพันธรัฐรัสเซีย ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2000 นายอิกอร์ อิวานอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงนโยบายต่างประเทศ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแล้ว สรุปสาระสำคัญของนโยบายต่างประเทศในยุคของประธานาธิบดีปูติน ได้ ดังนี้ หลักการทั่วไป - เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงภายในประเทศ - เพื่อรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน - เพื่อให้รัสเซียกลับคืนสู่สถานะการเป็นมหาอำนาจในโลก - รักษาและสอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์ - จะเข้าไปมีบทบาทในขบวนการการตัดสินใจสำคัญในโลก โดยยึดปฎิญญาสหประชาชาติเป็นกรอบใหญ่ของการดำเนินความสัมพันธ์ - จะสร้างเงื่อนไขภายนอกที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาและการปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตยภายในรัสเซีย - จะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซีย เพื่อลดและป้องกันความขัดแย้งและปัญหาเชื้อชาติตามแนวชายแดน - จะส่งเสริมและรักษาผลประโยชน์ของชาวรัสเซียในต่างประเทศ รวมทั้งเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมรัสเซียในต่างแดน แนวความคิดเบื้องหลังนโยบายต่างประเทศรัสเซียในปัจจุบัน เนื่องจากสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้ว ทำให้ปัญหาในเรื่องการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ลดน้อยลง ในขณะที่ปัญหาใหม่ที่เป็นความท้าทายต่อผลประโยชน์ของรัสเซียมีเพิ่มขึ้น ที่สำคัญได้แก่การที่สหรัฐฯ กลายเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลก ดังนั้นการวางนโยบายต่างประเทศของรัสเซีย จึงยังคงมองสถานการณ์ในรูปของการแบ่งเขตอิทธิพล และดำเนินนโยบายที่จะรักษาเขตอิทธิพลของรัสเซียให้อยู่ต่อไปอย่างที่เคยเป็นมาและป้องกันมิให้ประเทศอื่นๆ ขยายอิทธิพลเข้ามา และสนับสนุนระบบอำนาจหลายขั้ว (multi-polar system) ในโลกเพื่อมิให้สหรัฐฯ กลายเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลก ทั้งนี้ อาจสรุปแนวนโยบายต่างประเทศของรัสเซียได้ ดังนี้ 1. ให้ความสำคัญในการปรับความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก โดยจะพยายามให้รัสเซียเข้ามามีบทบาทเท่าเทียมกับประเทศตะวันตก ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับ EU จะกำหนดโดยกรอบของ Agreement on Partnership and Cooperation ซึ่งรัสเซียและ EU ได้ลงนามเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1994 รัสเซียจะคงการมีบทบาทนำใน OSCE และความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับ NATO นอกจากจะอยู่บนพื้นฐานของ Founding Act on Mutual Relations, Cooperation and Security ซึ่งรัสเซียและ NATO ได้ลงนามเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 แล้ว จะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามหลักการภายใต้ความตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ รัสเซียพยายามคัดค้านการเข้ามามีส่วนแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศขององค์การภูมิภาค โดยมิได้ผ่านการเห็นชอบของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งรัสเซียเป็นสมาชิกอยู่ รวมทั้งคัดค้านการเข้าแทรกแซงกิจการภายในประเทศโดยอ้างเหตุผลทางมนุษยธรรม (humanitarian intervention) 2. ให้ความสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independence States - CIS) โดยเฉพาะกับประเทศ CIS ที่มีพรมแดนติดกับรัสเซีย ดังนั้น รัสเซียจึงให้ความสำคัญกับกลุ่ม Shanghai 5 ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการปรึกษาหารือระหว่าง 5 ประเทศที่มีพรมแดนติดกันได้แก่ รัสเซีย จีน คาซัคสถาน คีร์กิซสถาน และทาจิกิสถาน แต่ต่อมาความสนใจของกลุ่มได้ขยายออกไป ในเรื่องความมั่นคงภายในภูมิภาคและความร่วมมือในปัญหาข้ามชาติ อาทิ ปัญหาการก่อการร้าย และปัญหายาเสพติดจึงได้มีประเทศที่มิได้มีพรมแดนติดกันแต่อยู่ในภูมิภาค ได้แก่ อุซเบกิสถานขอเข้าร่วม กลุ่มShanghai 5 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Shanghai Forum แทน 3. ดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบรอบทิศทาง (multi-directional foreign policy ) รัสเซียเริ่มให้ความสำคัญกับการดำเนินความสัมพันธ์กับเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นเสมือนศูนย์รวมของผลประโยชน์ร่วมของประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย จีนและญี่ปุ่น นอกจากญี่ปุ่นกับจีนแล้ว ประเทศที่รัสเซียให้ความสนใจก็มี อินเดียและกลุ่มประเทศอาเซียน โดยรัสเซียมีความสัมพันธ์กับจีนและอินเดียในลักษณะ strategic partnership และความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นก็เริ่มดีขึ้น รัสเซียดำเนินนโยบาย “Look East” อย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างระบบอำนาจหลายขั้ว (multi-polar) ขึ้นถ่วงการเป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐฯ 4. เข้ามามีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศที่สำคัญ ๆ เช่น เข้าร่วมกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรม G 7 เป็น G 8 ในการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เมืองเดนเวอร์ สหรัฐ ฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2540 เป็นครั้งแรก และได้เข้าเป็นสมาชิกใหม่ APEC ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เดือนพฤศจิกายน 2541 นอกจากนี้ รัสเซียยังได้ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก WTO รวมทั้งแสดงความประสงค์ที่จะสมัครเป็นสมาชิก ASEM ด้วย ทั้งนี้ เพื่อแสดงว่ารัสเซียยังคงมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ 5. ต่อต้านการขยายตัวของนาโตไปยังกลุ่มประเทศบอลติกและยูเครน ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยคัดค้านการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของโปแลนด์ สาธารณรัฐเช็กและฮังการี ว่าประเทศเหล่านี้เคยอยู่ในเขตอิทธิพลของรัสเซีย การเข้าเป็นสมาชิกนาโตของประเทศเหล่านี้จะทำให้สหรัฐฯสามารถขยายอิทธิพลเข้ามาในเขตนี้ (รัสเซียได้ลงนาม The Foundation Act กับนาโต เมื่อเดือนพฤษภาคม 2540 ยอมรับการขยายสมาชิกของนาโตไปยังสาธารณรัฐเช็ก ฮังการี และโปแลนด์ เพื่อแลกกับการมีส่วนร่วมในการตัดสินปัญหาสำคัญที่นาโตมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากรัสเซียต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา และยุโรปและเพื่อมิให้รัสเซียต้องถูกโดดเดี่ยว ออกจากพัฒนาการของยุโรปและของสถานการณ์โลกโดยรวม) รัสเซียพยายามผลักดันและสนับสนุนให้มีการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ ผ่านทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งรัสเซียเป็นสมาชิกถาวรอยู่ สำหรับองค์การความร่วมมือในระดับภูมิภาคนั้น รัสเซียสนับสนุน OSCE มากกว่านาโตซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นแกนนำ ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับนาโตเสื่อมลงในช่วงวิกฤตการณ์โคโซโว เนื่องจากการใช้กำลังโจมตียูโกสลาเวียของนาโตเพื่อแก้ไขปัญหาโคโซโว แต่ภายหลังที่ประธานาธิบดีปูตินเข้ารับหน้าที่แล้ว นโยบายต่างประเทศรัสเซียที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือการปรับความสัมพันธ์กับนาโต 6. สนับสนุนการรวมประเทศระหว่างรัสเซียกับยูเครนและเบลารุส ซึ่งเป็นประเทศที่มีเชื้อสายสลาฟด้วยกัน เพื่อเป็นการดึงประเทศเหล่านี้กลับเข้ามาอยู่ภายใต้อิทธิพลรัสเซียอีกครั้ง 7. ผลักดันนโยบายลดอาวุธนิวเคลียร์ (เพื่อป้องกันมิให้สหรัฐฯ แก้ไขสนธิสัญญา ลดอาวุธนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับรัสเซีย เนื่องจากเกรงว่าขีดความสามารถในการพัฒนาอาวุธ 8. นิวเคลียร์ของสหรัฐฯ จะสูงกว่าตน) สนับสนุนนโยบายปราบปรามการก่อการ ร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติ (เนื่องจากปัญหาเชชเนียและมาเฟียรัสเซีย)