การแก้ปัญหาเชิงประดิษฐ์คิดค้นโดยใช้ TRIZ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

องค์ความรู้เกี่ยวกับ TRIZ

1. What is TRIZ ?

1) TRIZ is the Russian acronym for the Theory of Inventive Problem Solving. It is a proven algorithmic approach to solving system problems. TRIZ began in 1946 when the Russian engineer and scientist Genrich Altshuller discovered that the evolution of a system is not a random process, but rather is governed by certain objective laws.




2) ผู้ให้กำเนิด TRIZ เป็นวิศวกรชาวรัสเซียชื่อ เกนริค เซาโลวิช อัลท์ชูลเลอร์ (Genrikh Saulovich Altshuller, 1925-1998)

อัลท์ชูลเลอร์ได้ทำการศึกษาค้นคว้าสิทธิบัตรต่างๆ มากกว่า 2,000,000 ชิ้น ทำให้เขาพบว่าสิ่งประดิษฐ์หรือการคิดค้นหลายๆอย่างที่ผ่านมาได้มาจากการใช้รูปแบบความคิดสร้างสรรค์ที่คล้ายกัน อัลท์ชูลเลอร์ได้พัฒนาเครื่องมือต่างๆในการแก้ปัญหาโดยมีสมมติฐาน 2 อย่างต่อไปนี้เป็นพื้นฐาน

①: พัฒนาการของระบบทางเทคนิค (ผลิตภัณฑ์ หรือขบวนการผลิต เป็นต้น) ดำเนินไปอย่างมีกฎเกณฑ์

②: ในการคิดค้นหาทางแก้ปัญหาใดๆนั้นจะต้องมีวิธีการคิดที่เป็นระบบ มีความเป็นเหตุเป็นผล



3) Process (กระบวนการทางความคิด)

ARIZ ( Algorithm for Inventive Problem Solving )


4) Technique (เทคนิค,เครื่องมือ)

ความขัดแย้งเชิงเทคนิค,ความขัดแย้งเชิงกายภาพ,การวิเคราะห์Su-Field


Knowledge Base(ฐานความรู้)

40 หลักการในการประดิษฐ์คิดค้น, 76 คำตอบมาตรฐาน, Effects Table




2. ความขัดแย้งเชิงเทคนิค 1) ในการแก้ไขปัญหาทางวิศกรรม ส่วนใหญ่จะมีความขัดแย้งเชิงเทคนิค คือ เมื่อคุณสมบัติอย่างหนึ่งดีขึ้น คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งจะเลวลง



2) คุณสมบัติ 39 อย่าง ของปัญหาทางเทคนิค

1. น้ำหนักของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ 2. น้ำหนักของวัตถุซึ่งไม่เคลื่อนที่ 3. ความยาวของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ 4. ความยาวของวัตถุซึ่งไม่เคลื่อนที่ 5. พื้นที่ของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ 6. พื้นที่ของวัตถุซึ่งไม่เคลื่อนที่ 7. ปริมาตรของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ 8. ปริมาตรของวัตถุซึ่งไม่เคลื่อนที่ 9. ความเร็ว 10. แรง 11. แรงดึง แรงดัน 12. รูปร่าง 13. เสถียรภาพของวัตถุ 14. ความแข็งแรง 15. ความทนทานของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ 16.ความทนทานของวัตถุซึ่งไม่เคลื่อนที่ 17. อุณหภูมิ 18. ความสว่าง 19. พลังงานที่ใช้ไปโดยวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ 20.พลังงานที่ใช้ไปโดยวัตถุซึ่งไม่เคลื่อนที่ 21. กำลัง 22. การสูญเสียไปของพลังงาน 23. การสูญเสียไปของสสาร 24. การสูญเสียไปของข้อมูล 25. การสูญเสียไปของเวลา 26. จำนวนของสสาร 27. ความน่าเชื่อถือ 28. ความแม่นยำของการวัด 29. ความแม่นยำของการผลิต 30. ปัจจัยอันตรายซึ่งกระทำต่อวัตถุ 31. ปัจจัยอันตรายที่ตามมา 32. ความสามารถในการผลิต 33. ความสะดวกในการใช้ 34. ความสะดวกในการซ่อมแซม 35. ความสามารถในการปรับตัวได้ 36. ความซับซ้อนของอุปกรณ์ 37. ความซับซ้อนของการควบคุม 38. ระดับของความอัตโนมัติ 39. ผลิตภาพ



3. หลักการ 40 ข้อ ในการแก้ปัญหาเชิงประดิษฐ์คิดค้น

1. การแบ่งออกเป็นส่วนๆ (ทำเป็นส่วนย่อย) 2. การสกัดออก การแยกออก 3. คุณสมบัติประจำตัว 4. ความไม่สมมาตร 5. การรวมเข้าด้วยกัน 6. การใช้งานหลากหลายวัตถุประสงค์ 7. การซ้อนกันเป็นชั้นๆ 8. การคานน้ำหนักกัน 9. การกระทำต่อต้านล่วงหน้า 10. การกระทำล่วงหน้า 11. การป้องกันล่วงหน้า 12. ใช้พลังงายนศักย์เท่ากัน 13. ทำกลับทิศทาง (กลับหัวกลับหาง) 14. ความเป็นทรงกลม 15. ความเป็นพลวัต 16. การทำกิริยาเป็นบางส่วนหรือมากเกินไป 17. เปลี่ยนไปสู่มิติใหม่ 18. การสั่นสะเทือนเชิงกล 19. การกระทำเป็นจังหวะ 20. ความต่อเนื่องของการกระทำที่เป็นประโยชน์ 21. การกระทำอย่างว่องไว 22. เปลี่ยนอันตรายให้เป็นประโยชน์ 23. การป้อนกลับ 24. ใช้ตัวกลาง 25. การช่วยตัวเอง 26. การลอกแบบ 27. ใช้แล้วทิ้ง 28. เปลี่ยนทดแทนระบบเชิงกล 29. ใช้ระบบควบคุมด้วยลมอัดหรือน้ำมันอัด 30. แผ่นฟิล์มยืดหยุ่นหรือแผ่นเยื่อบาง 31. ใช้วัสดุที่เป็นรูพรุน 32. การเปลี่ยนสี 33. ความเป็นเนื้อเดียวกัน 34. คัดชิ้นส่วนออกและฟื้นฟูสภาพชิ้นส่วน 35. การแปลงคุณสมบัติ 36. การเปลี่ยนสถานะ 37. การขยายตัวเนื่องจากความร้อน 38. เติมออกซิเจนอย่างรวดเร็ว 39. สภาพแวดล้อมที่เฉื่อย 40. วัสดุผสม



4. ความขัดแย้งเชิงกายภาพ ในผลิตภัณฑ์หรือระบบทางเทคนิคใดๆ ถ้าเราต้องการให้มีสมรรถนะอย่างหนึ่ง(F1) องค์ประกอบหนึ่งจะต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง(P) แต่เมื่อเราต้องการให้มีสมรรถนะอย่างหนึ่ง( F2) องค์ประกอบนั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับ P คือ –P ถ้าอธิบายด้วยคำพูดง่ายๆ จะสามารถอธิบายได้ว่า องค์ประกอบนั้นจะต้องมีคุณสมบัติสูง และต้องมีคุณสมบัติต่ำ องค์ประกอบนั้นจะต้องมีอยู่และไม่มีอยู่ในเวลาเดียวกัน

ลักษณะเช่นนี้ เราเรียกว่า ความขัดแย้งเชิงกายภาพ


การแก้ปัญหาความขัดแย้งเชิงกายภาพ โดยใช้หลักการของการแบ่งแยก

หลักการของการแบ่งแยก (Separation) การแบ่งแยกในเชิงสถานที่ (Space) การแบ่งแยกในเชิงเวลา (Time) การแบ่งแยกในเชิงภาพรวมกับส่วนย่อย (Total and Local) การแบ่งแยกโดยการกำหนดเงื่อนไข (Condition)



5. การแก้ปัญหาโดยการวิเคราะห์สสาร – สนาม อัลท์ชูลเลอร์ค้นพบว่าปัญหาบางอย่างไม่สามารถแสดงด้วยวิธีการของความขัดแย้งเชิงเทคนิค หรือ ความขัดแย้งเชิงกายภาพได้ ปัญหาดังกล่าวมักจะอยู่ในรูปของระบบมีการทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ หรือ ระบบก่อให้เกิดผลเชิงลบที่เป็นอันตรายขึ้น ตัวอย่างเช่น ต้องการใช้ค้อนทุบหินให้แตก แต่หินแข็งมาก จึงทำได้ไม่สำเร็จ หรือ เกิดเศษหินปลิวกระจาย เป็นสภาวะปัญหาที่ไม่สามารถเขียนแสดงในรูปของความขัดแย้งได้

ดังนั้นอัลท์ชูลเลอร์จึงได้เสนอแบบจำลองของสสาร – สนามขึ้นเพื่อใช้เขียนและวิเคราะห์หาแนวทางแก้ปัญหาระบบที่มีการทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ หรือ ระบบก่อให้เกิดผลเชิงลบที่เป็นอันตรายขึ้น



6. พัฒนาการของระบบเทคโนโลยี ความเป็นอุดมคติ (Ideality / Ideal Final Result)

พัฒนาการของการระบบเทคโนโลยีจะมีทิศทางที่มุ่งไปสู่ความเป็นอุดมคติ

ระบบในอุดมคติจะไม่มีปัจจัยที่เป็นลบ นั่นคือไม่มีระบบก็ทำงานได้

การแก้ปัญหาในเชิงอุดมคติ กล่าวได้ว่า เป็นการแก้ปัญหาโดยไม่ได้ ไปเพิ่มปัจจัยที่เป็นลบ แต่สามารถสร้างอรรถประโยชน์ได้ตามต้องการ



7. รีซอร์ส (Resources) Resources คือ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของทรัพยากรต่างๆที่อยู่รายล้อมระบบซึ่งสามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาเพื่อปรับปรุงระบบทางเทคนิคได้ เช่น วัตถุ พลังงาน คุณสมบัติ ตลอดเงื่อนไขของสภาพแวดล้อม เป็นต้น



ประเภทของทรัพยากร(Resources)

การทำหน้าที่ / Functional

สนาม / Field (= การกระทำหรือพลังงาน)

ข้อมูล / Information

ความคิดสร้างสรรค์ / Ideas

สสาร / Substance

พื้นที่ / Space

เวลา / Time


8. เอฟเฟ็กส์ (Effects) Effects คือ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของผลหรือปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ เคมี และเรขาคณิต ซึ่งสามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาเพื่อปรับปรุงระบบทางเทคนิคได้



การแบ่งประเภทของผลหรือปรากฏการณ์ ทางฟิสิกส์ เคมี และเรขาคณิต (Effects )

E1:วัดอุณหภูมิ E2:ลดอุณหภูมิ E3:เพิ่มอุณหภูมิ E4:ทำอุณหภูมิให้คงที่ E5:ตรวจตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของวัตถุ E6:ควบคุมการเคลื่อนที่ของวัตถุ E7:ควบคุมการเคลื่อนที่ของของเหลวและก๊าซ E8:ควบคุมการไหลของสารที่เป็นหมอกควัน (aerosol) E9:ย้ายวัสดุผสม ทำสารเหลว E10:แยกวัสดุผสม E11:ทำให้ตำแหน่งของวัตถุเสถียร E12:สร้างแรงเพื่อการควบคุม สร้างความดันสูง E13:ควบคุมความเสียดทาน E14:ทำวัตถุให้แตกสลาย E15:กักเก็บพลังงานทางกลและทางความร้อน E16:ถ่ายทอดพลังงาน E17:สร้างแรงกระทำระหว่างวัตถุที่เคลื่อนที่กับวัตถุที่อยู่นิ่ง E18:วัดขนาดวัตถุ E19:เปลี่ยนขนาดวัตถุ E20:ตรวจสภาพและรูปร่างของพื้นผิว E21:เปลี่ยนรูปร่างของพื้นผิว E22:ตรวจสภาพและปริมาณของวัตถุ E23:เปลี่ยนลักษณะทางปริมาณของวัตถุ E24:สร้างโครงสร้างของวัตถุและทำให้เสถียร E25:ตรวจหาสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก E26:ตรวจหารังสี E27:สร้างรังสี E28:ควบคุมสนามแม่เหล็กไฟฟ้า E 29:ควบคุมแสง E 30:ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี



9. Smart Little People การสร้างจินตนาการด้วย SLP ( Smart Little People )

SLP เป็นวิธีการเชิงจิตวิทยาที่อัลท์ชูลเลอร์ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อค้นหาและแก้ไขปัญหา โดยการจินตนาการเป็นมนุษย์ตัวน้อยที่ชาญฉลาดแทรกซึมเข้าไปในจุดที่เกิดปัญหา เพื่อมองปัญหานั้นในระดับจุลภาพอันอาจนำไปสู่คำตอบในการแก้ปัญหาได้



10. ARIZ กระบวนการขั้นตอนในการแก้ปัญหาของ TRIZ ( ARIZ : Algorithm of Inventive Problem Solving )




แบบฝึกหัดการแก้ปัญหาเชิงประดิษฐ์คิดค้น http://www.trizthailand.com/elearning