พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถานีย่อย:ประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระนามเต็ม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุฒมพงษ์บรพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภ ผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรพรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศ มโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรามหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติ อาชาวศรัย พุทธาธิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระนามเดิม สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชวรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร
พระราชสมภพ วันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู
๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖
เสวยราชสมบัติ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรง
พ.ศ. ๒๔๑๑ รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๔๒ ปี
เสด็จสวรรคต วันเสาร์ เดือน ๑๑ แรม ๔ ค่ำ ปีจอ
๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ รวมพระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา
พระโอรสธิดา รวมทั้งสิ้น ๙๗ พระองค์
วัดประจำรัชกาล วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชจักรีวงศ์ พระราชสมภพเมื่อ วันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๙ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ ๑ ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. ๒๔๑๑) รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๔๒ ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน ๑๑ แรม ๔ ค่ำ ปีจอ (๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา

พระองค์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน

สารบัญ

[แก้] พระมเหสี พระราชินี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดา

[แก้] พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๕ ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติการในศาสนาได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีมีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัดและอำเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ สายกรุงเทพ-อยุธยา นอกจากนี้ได้มีงานพระราชนิพนธ์ ที่สำคัญ

[แก้] การเสียดินแดน

ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5 พระเกี้ยวยอด
ขยาย
ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5 พระเกี้ยวยอด

การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส

  • ครั้งที่ ๑ เสียเขตแดนเขมรส่วนนอก เนื้อที่ประมาณ ๑๒๓,๐๕๐ ตารางกิโลเมตร และเกาะอีก ๖ เกาะ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐
  • ครั้งที่ ๒ เสียอาณาจักรล้านช้าง (หรือหัวเมืองลาว) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทย และได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจำปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึงบีบบังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เนื้อที่ประมาณ ๓๒๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๓๑ ฝรั่งเศสข่มเหงไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุกระสุน ๓ นัดเพื่อเตือนให้ออกไป แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหนึ่ง ในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ฝรั่งเศสนำเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ (ทั้งนี้ประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยลำอยู่ ๒ ลำ ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ไทย ๓ ข้อ ให้ตอบใน ๔๘ ชั่วโมง เนื้อหา คือ
    • ให้ไทยใช้ค่าเสียหายสามล้านแฟรงค์ โดยจ่ายเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คให้สถานทูตฝรั่งเศสแถวบางรัก
    • ให้ยกดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเกาะต่างๆ ในแม่น้ำด้วย
    • ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้ำโขงออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่สำหรับการทหาร ในระยะ ๒๕ กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม - ๓ สิงหาคม ๒๔๓๖ และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้ เพื่อบังคับให้ไทยทำตาม
  • ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ ๕๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศส ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ และฝรั่งเศสได้ยึดเอาจันทบุรีกับตราด ไว้ต่ออีก นานถึง ๑๑ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๖ - พ.ศ. ๒๔๔๗)
  • ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ไทยต้องทำสัญญายกดินแดนให้ฝรั่งเศสอีก คือ ยกจังหวัดตราดและเกาะใต้แหลมสิงห์ลงไป (มีเกาะช้างเป็นต้น) ไปถึง ประจันตคีรีเขตร์(เกาะกง) ดังนั้นฝรั่งเศสจึงถอนกำลังจากจันทบุรีไปตั้งที่ตรา ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗
  • วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ไทยต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา คือเขมรส่วนใน ได้แก่เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสอีก ฝรั่งเศสจึงคืนจังหวัดตราดให้ไทย รวมถึงเกาะทั้งหลายจนถึงเกาะกูด

รวมแล้วในคราวนี้ ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ ๖๖,๕๕๕ ตารางกิโลเมตร

  • และไทยการเสียดินแดนอีกครั้งทางด้านขวาของแม่น้ำโขง คืออาณาเขตเมืองหลวงพระบาง ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๐
  • เสียดินแดน รัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ให้อังกฤษ เมื่อ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ (นับอย่างใหม่ พ.ศ. ๒๔๕๒) เพื่อขอกู้เงิน ๔ ล้านปอนด์ทองคำอัตราดอกเบี้ย ๔% ต่อปี มีเวลาชำระหนี้ ๔๐ ปี

[แก้] เหตุการณ์

พ.ศ. ๒๔๑๒ เริ่มสร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

พ.ศ. ๒๔๑๖ เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวาเป็นครั้งแรก ต้นปี ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย เสด็จประพาส อินเดีย ปลายปี พ.ศ. ๒๔๑๔ ต่อปี พ.ศ. ๒๔๑๕ (ปีวอก)

พ.ศ. ๒๔๑๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เริ่มปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ เริ่มใช้เสื้อราชประแตน

พ.ศ. ๒๔๑๖ ทรงมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา ทรงผนวช โปรดเกล้าฯ ให้เลิกประเพณีหมอบคลาน เวลาเข้าเฝ้า ในวันบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๖ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์

พ.ศ. ๒๔๑๗ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือ รัฐมนตรีสภาและองคมนตรีสภา วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๗ ปีจอ ออกพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาส ลูกไท กำเนิดโรงเรียนสตรีวังหลัง ใช้เงินอัฐกระดาษ แทนเหรียญทองแดง ตั้งพิพิธภัณฑสถาน

พ.ศ. ๒๔๑๘ สงครามปราบฮ่อ ครั้งแรก เริ่มการโทรเลขครั้งแรกระหว่างกรุงเทพ-สมุทรปราการ

พ.ศ. ๒๔๒๔ สมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี

พ.ศ. ๒๔๒๖ ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มเปิดบริการไปรษณีย์ครั้งแรกในพระนคร ตั้งกรมโทรเลข สงครามปราบฮ่อ ครั้งที่ ๒

พ.ศ. ๒๔๒๗ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วๆ ไป ตามวัดต่างๆ เริ่มแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม

พ.ศ. ๒๔๒๙ โปรดเกล้าฯ ให้เลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงประกาศตั้งตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร ขึ้น และทรงสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นสยามมกุฎราชกุมารเป็นพระองค์แรก สงครามปราบฮ่อ ครั้งที่ ๓ ไทยสมัครเข้าเป็นภาคีสหภาพไปรษณีย์สากล

พ.ศ. ๒๔๓๐ ตั้งกรมยุทธนาธิการทหาร (กระทรวงกลาโหม) ตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๐

ตั้งกระทรวงธรรมการ สงครามปราบฮ่อ ครั้งที่ ๔

พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงเริ่มการทดลองจัดการปกครองส่วนกลางแผนใหม่ เริ่มดำเนินการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นครั้งแรก สำเร็จออกมา ๓๙ เล่ม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ใช้รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นศักราชในราชการ ตั้งกรมพยาบาล เปิดโรงพยาบาลศิริราช ตราพระราชบัญญัติ เลิกวิธีพิจารณาโทษตามแบบจารีตนครบาล เสียดินแดน แคว้นสิบสองจุไทยให้ฝรั่งเศส

พ.ศ. ๒๔๓๒ เริ่มใช้วันทางสุริยคติในราชการ

พ.ศ. ๒๔๓๔ ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ และเริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา

พ.ศ. ๒๔๓๕ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๕ ตั้งศาลโปริสภา (ศาลแขวง) ส่งนักเรียนไปศึกษาวิชาทหารในยุโรป รุ่นแรก

พ.ศ. ๒๔๓๖ ให้เอกชนเปิดเดินรถไฟสายปากน้ำ เมื่อ ๑๑เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ฉลองพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ครั้งแรก ตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัย ตั้งสภาอุณาโลมแดง (สภากาชาดไทย) เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส

พ.ศ. ๒๔๓๗ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เป็นสยามมกุฎราชกุมาร เริ่มจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ตั้งโรงไฟฟ้า เริ่มกิจการรถราง ไฟฟ้าอย่างแท้จริงแม้จะได้เริ่มการใช้รถรางไฟฟ้าเมื่อ ๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๘๙๓ (นับอย่างเก่าต้อง ร.ศ. ๑๑๑ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๕)โดยที่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรเมื่อ ๒๒ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๑๑

พ.ศ. ๒๔๓๗ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงพิเศษไปจัดการศาลตามหัวเมือง จัดทำงบประมาณแผ่นดินครั้งแรก ตั้งโรงเรียนฝึกหัดวิชาแพทย์ และผดุงครรภ์

พ.ศ. ๒๔๔๐ เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ปีระกา ตราข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมาย เริ่มการสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงไปเรียนในยุโรป ปีละ ๒ ทุน

พ.ศ. ๒๔๔๑ ตั้งกรมเสนาธิการทหารบก รวมกรมไปรษณีย์และกรมโทรเลขเป็นกรมเดียวกัน กำเนิดเหรียญ "สตางค์" รุ่นแรก โดยใช้ทองขาว (นิกเกิ้ล ราคา ๒๐สตางค์,๑๐สตางค์, ๕ สตางค์ และ ๒ ๑/๒ สตางค์ แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะใช้ยาก

พ.ศ. ๒๔๔๒ เริ่มจัดตั้งกองทหารตามหัวเมือง เริ่มสร้างวัดเบญจมบพิตร ได้พระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย ทำสนธิสัญญากำหนดสิทธิจดทะเบียนคนในบังคับอังกฤษ

พ.ศ. ๒๔๔๔ ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่นครราชสีมา เปิดการเดินรถไฟหลวง สายกรุงเทพ-นครราชสีมา เมื่อ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ หล่อพระพุทธชินราชจำลอง บริษัทสยามไฟฟ้า ได้รับสัมปทานจำหน่ายไฟฟ้า เริ่มจุดโคมไฟตามถนนหลวง เกิดกบฎเงี้ยวที่เมืองแพร่, ผีบุญที่อุบลราชธานี และ กบฎแขก ๗ หัวเมืองที่ปัตตานี เพื่อต่อต้านการปกครองแบบเทศาภิบาล


พ.ศ. ๒๔๔๕ ตั้งกรมธนบัตร เริ่มใช้ธนบัตรครั้งแรก ตราพระราชบัญญัติธนบัตร ร.ศ. ๑๒๑ ตั้งสามัคยาจารย์สมาคม ตั้งโอสถศาลา ปราบกบฎเงี้ยวที่เมืองแพร่, ปราบผีบุญอุบลราชธานี และ กบฎแขก ๗ หัวเมืองปัตตานี สำเร็จ และได้มีการปลดเจ้าเมืองแพร่, เจ้าเมืองปัตตานี, หนองจิก, รามัน, สายบุรี, ยะลา, ระแงะ ออกจากตำแหน่ง พร้อมส่งไปจองจำเจ้าเมืองปัตตานีในหลุมที่พิษณุโลก ภายหลังได้ปล่อยตัวออกไปตามแรงกดดันของอักฤษ

พ.ศ. ๒๔๔๖ เปิดการเดินรถไฟหลวงสายใต้ ระหว่างกรุงเทพ-เพชรบุรี เมื่อ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๖

พ.ศ. ๒๔๔๗ เสียดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ตรงหัวเมืองจำปาศักดิ์ (ตรงข้ามเมืองปากเซ)และ หัวเมืองไชยบุรี-ปากลาย (ตรงข้ามหลวงพระบาง)

พ.ศ. ๒๔๔๘ เสด็จประพาสต้นครั้งแรก ทำอนุสัญญากำหนดสิทธิการจดทะเบียนคนในบังคับฝรั่งเศส

พ.ศ. ๒๔๔๘ ตราพระราชบัญญัติทาส รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ ประกาศให้ลูกทาสเป็นไททั้งหมด ด้วยพระราชบัญญัติลักษณะทาส รัตนโกสินทร์ศก ๑๓๐ ตรงกับวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ให้เป็นวันที่ทาสหมดสิ้นจากราชอาณาจักรไทย ตั้งหอสมุดสำหรับพระนคร ตราพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ฉบับแรก ทำอนุสัญญากำหนดสิทธิการจดทะเบียนคนในบังคับเดนมาร์ก และอิตาลี ทดลองจัดสุขาภิบาลที่ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร

พ.ศ. ๒๔๔๙ เสด็จประพาสต้นครั้งหลัง เปิดโรงเรียนนายเรือ ที่พระราชวังเดิม เมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ เสียมณฑลบูรพา (เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ) ให้ฝรั่งเศส เมื่อ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ เพื่อแลกกะจันทบุรีและด่านซ้ายคืนมา

พ.ศ. ๒๔๕๐ เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ ปีมะแม เพื่อรักษาพระโรควักกะพิการ จัดให้มีการประกวดพันธุ์ข้าวครั้งแรก เปิดการเดินรถไฟหลวง สายกรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา เมื่อ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๐ (นับอย่างใหม่ต้อง พ.ศ. ๒๔๕๑)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขยาย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พ.ศ. ๒๔๕๑ จัดการสุขาภิบาลตามหัวเมืองทั่วไป ประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ เลิกใช้เงินพดด้วง ตราพระราชบัญญัติทองคำ ร.ศ. ๑๒๗ ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแบบสากล โดยให้จ่ายเงินตราต่างประเทศทที่ใช้มาตรฐานทองคำแทนการออกเหรียญ ๑๐ บาททองคำตราครุฑ สร้างพระบรมรูปทรงม้า เนื่องในโอกาสเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ๔๐ ปี วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ตรงกับวันพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก จ้างช่างที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ทำ หล่อด้วยโลหะชนิดทองบรอนซ์นำมา ติดกับทองบรอนซ์เหมือนกันหนาประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เป็นที่ม้ายืน โดยส่งเข้ามายังกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ประดิษฐานบนแท่นหินอ่อน อันเป็นแท่นรอง สูงประมาณ ๖ เมตร กว้าง ๒ เมตรครึ่ง ยาว ๕ เมตร

พ.ศ. ๒๔๕๒ เลิกใช้เงินเฟื้อง ซีก เสี้ยว อัฐ โสฬส เริ่มกิจการประปา

พ.ศ. ๒๔๕๓ มีการแสดงกสิกรรมและพาณิชยกรรม ครั้งแรก เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๕ ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เมื่อเวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที (๐ นาฬิกา ๔๕ นาที) ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ด้วยพระโรควักกะพิการซึ่งแสดงอาการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗-๒๔๔๘ เมื่อพระชนมายุได้ ๕๘ พรรษา รวมครองราชสมบัติ ๔๒ ปี

[แก้] พระราชนิพนธ์


[แก้] ดูเพิ่ม


[แก้] อ้างอิง


รัชสมัยก่อนหน้า:
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์ไทย
ราชวงศ์จักรี พ.ศ. 2411-2453
รัชสมัยถัดไป:
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว