อำเภอพรหมบุรี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการตรวจสอบและยังไม่สมบูรณ์
บทความนี้ ต้องการการตรวจสอบหรือแก้ไขบางส่วน ซึ่งไม่แน่ใจหรือไม่ทราบในสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขบทความให้มีลักษณะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย - เมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

[แก้] อำเภอพรหมบุรี

เป็นอำเภอในจังหวัดสิงห์บุรี

คำขวัญจังหวัด ถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนช่อนแม่ลา เทศกาลกินปลาประจำปี คำขวัญอำเภอ ประเพณีกำฟ้า หัวป่าต้นตำรับอาหารไทยรสเด็ด คูค่ายเป็นเพชรประวัติศาสตร์ นารีพิลาศ สาวบ้านแป้ง ที่ว่าการอำเภอ หมู่ที่ 3 ตำบลบางน้ำเชี่ยว อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี 16120 หมายเลขโทรศัพท์ 0-3659-9444

 เนื้อที่  82.505 ตร.กม.


กดที่นี่เพื่อดูภาพแผนที่ [[1]]


[[การปกครอง]]

  1. ตำบล 7 แห่งได้แก่ 
        1.1 ตำบลบ้านแป้ง
        1.2 ตำบลพระงาม
        1.3 ตำบลโรงช้าง
        1.4 ตำบลบ้านหม้อ
        1.5 ตำบลหัวป่า
        1.6 ตำบลบางน้ำเชี่ยว 
        1.7 ตำบลพรหมบุรี
     2. หมู่บ้าน 42 แห่ง
     3. เทศบาล 2 แห่ง
     4. อบต. 4 แห่ง


ข้อมูลประชากร (ข้อมูล 07/09/2006)

  1.จำนวนประชากรทั้งสิ้น รวม 25,566  คน 
     2.จำนวนประชากรชาย รวม 12,266  คน 
     3.จำนวนประชากรหญิง รวม 13,300 คน 
     4.ความหนาแน่นของประชากร 309 คน/ตร.กม. 


ข้อมูลเศรษฐกิจ

  1.อาชีพหลัก ได้แก่  
        1.1 เกษตรกรรม
        1.2 รับจ้าง  
  2.อาชีพเสริม ได้แก่  
        1.1 กลุ่มแปรรูปผลิตผลการเกษตร
        1.2 ทำที่นอน หมอนหนุน หมอนข้าง
        1.3 ทำขนมหวาน, ข้าวหลาม  
  3.จำนวนธนาคาร  มี 1 แห่ง ได้แก่
        ธนาคารไทยพาณิชย์ ฯ สาขาปากบาง        โทร.  0-3659-9076-7 


มีสถานที่สำคัญ ๆ ในอำเภอได้แก่

คูค่ายพม่า คูค่ายพม่า ตั้งอยู่บริเวณวัดหลังคู หรือบ้านเจดีย์หัก หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ลักษณะเป็นเนินดินยาว รูปร่างคล้ายตัว L กว้างประมาณ 5 - 15 เมตร ยาวประมาณ 3 เมตร ส่วนหนึ่งของแนวค่ายมีถนนสายเอเชีย( หมายเลข 32 ) ตัดผ่าน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า พม่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2127 เมื่อครั้งพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพมาที่เมืองชัยนาท และให้กองทัพหน้าลงมาตั้งค่ายที่ปากน้ำบางพุทรา แขวงเมืองพรหม โดยจะมาสมทบกับเจ้าเมืองพสิมซึ่งยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อรวมกำลังกันเข้าตีกรุงศรีอยุธยา กองทัพไทยได้ต่อสู้จนกองทัพพม่าที่ปากน้ำบางพุทราต้องถอยร่นไปที่เมืองชัยนาท พระเจ้าเชียงใหม่จึงได้โปรดถอยทัพกลับ และทิ้งร่องรอยคูค่ายให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับผักผ่อนหย่อนใจของประชาชน

วัดกุฏีทอง วัดกุฎีทอง หมู่ที่ 3 ตำบลบางน้ำเชี่ยว อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ภายในวัดมีมณฑป ลักษณะเหมือนเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนยอด ภายในเป็นที่ประดิษฐรอยพระพุทธบาทจำลอง นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน วิถีชีวิต ประเพณีวัฒธรรมชาวไทยพวน ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรักษาจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ชาวไทยพวน เครื่องมือจับปลา เสื้อผ้า เครื่องประดับ ยวดยานพาหนะ ฯลฯ งานประเพณีต่างๆ ของชาวไทยพวนจะจัดขึ้นที่วัดกุฎีทองแห่งนี้


วัดพระปรางค์มุนี วัดพระปรางค์มุนี ตั้งอยู่บริเวณตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ติดกับถนนสายเอเชีย สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2440 ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องราวเกี่ยวกับ ทศชาติ ฝีมือชาวบ้าน เขียนโดย นายเพ็ง คนลาว เมื่อ พ.ศ.2462 ฝีมืองดงามมาก

[แก้] วัดอัมพวัน

วัดอัมพวัน เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก สภาพทั่วไปนั้น มีต้นไม้ประมาณ ๓๐๐ ต้น เป็นไม้ดอก - ไม้ใบ ที่ปลูกใหม่ เดิมสภาพพื้นที่จะเป็นที่ที่น้ำท่วมถึง มาบัดนี้ทางวัดได้ทำถนน - คูกั้นน้ำ จึงสามารถป้องกันน้ำไว้ได้ จึงได้มีการปลูกงต้นไม้เพิ่มขึ้น

หลักฐานการตั้งวัด จากการสำรวจทางราชการประมาณกาลตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๗๕ การสร้างอุโบสถ ผูกพัทธสีมา มาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อรัชกาลที่ ๓ ครั้งที่ ๒ นี้ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร และได้ผูกพัทธสีมา วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓

ประวัติความเป็นมาของวัด วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นชื่อเดิมมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา ศิลาจารึกในอุโบสถหลังเก่าจารึกเป็นภาษาจีนว่า คนจีนได้สร้างอุโบสถวัดอัมพวัน สมัยเหม็งเชี้ยว คนจีนได้นำเรือกำปั่นมาทำการค้าขายกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมืองลพบุรี มากับฝรั่งชาติฮอลันดา จอดหน้าวัดอัมพวัน ได้สร้างโบสถ์วัดอัมพวัน สมัยเจ้าอาวาสวัดอัมพวันชื่อ พระครูญาณสังวร อายุ ๙๙ ปี สร้างโบสถ์เสร็จแล้ว ฝรั่งเพื่อนคนจีนได้ขอพระราชทาน พระหน้าปรกหินทั้งสององค์จากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้คนจีนเอาไว้ในโบสถ์ จนถึงการสร้างโบสถ์หลังใหม่มาจนถึงทุกวันนี้

อุโบสถหลังเก่าได้ชำรุดและพังลง เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๑ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำเดือน ๓ ปีจอ เวลา ๐๙.๔๕ น. ได้รื้อถอนเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๑ ตรงกับแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ด้วยแรงชาวบ้านและรถยกของ ป.พัน ๑๐๑ มาช่วยกันรื้ออุโบสถ เสร็จเรียบร้อยภายใน ๔ วัน

เริ่มก่อสร้างอุโบสถ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๑ วางศิลาฤกษ์ ๑๔-๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๒ สร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ รวมเวลาการก่อสร้าง ๑ ปี ๔ เดือน ๑๕ วัน ผูกพัทธสีมาวันที่ ๘-๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓

วัดนี้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ตามลำดับ มาถึง พ.ศ. ๒๕๑๓ กรมการศาสนาได้ยกย่องให้เกียรติ เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างมาจนบัดนี้


[แก้] ประเพณีกำฟ้า

ประเพณีกำฟ้า เป็นงานบุญพื้นบ้านของชาวไทยพวนที่บ้านน้ำเชี่ยว และหมู่บ้านโภคาวิวัฒน์ อ.พรหมบุรี จัดขึ้นเพื่อเป็นการบูชาระลึกถึงเทพยดา ผู้รักษาฟากฟ้าและบันดาลฝนตกต้องตามฤดูกาล ถือเอาวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันสุกดิบ พิธีกรรมจะกระทำเช่นเดียวกับ " ประเพณีกำฟ้าของชาวไทยพวน จังหวัดลพบุรี " และจังหวัดอื่นๆ