อาณาจักรสุโขทัย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์ไทย
บ้านเชียง ประมาณ 5000 ปีที่แล้ว
อาณาจักรทวารวดี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 5 ถึง 15
อาณาจักรศรีวิชัย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 5 ถึง 18
ละโว้ พ.ศ. ?
แคว้นเชียงแสน พ.ศ. 1088-พ.ศ. 1181
แคว้นเงินยางเชียงแสน พ.ศ. 1181-พ.ศ. 1805
อาณาจักรหริภุญชัย พ.ศ. 1206-พ.ศ. 1836
อาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. 1781-พ.ศ. 1981
อาณาจักรล้านนา พ.ศ. 1802-พ.ศ. 2482
อาณาจักรอยุธยา พ.ศ. 1893-พ.ศ. 2310
กรุงธนบุรี พ.ศ. 2310-พ.ศ. 2325
กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325-ปัจจุบัน
ปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2475
สำหรับความหมายอื่นของ สุโขทัย ดูได้ที่ สุโขทัย

[แก้] รัฐสุโขทัย : สถานีการค้า

เดิมที สุโขทัย เป็นสถานีการค้าของแคว้นละโว้ (ลวรัฐ) บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ กับเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง(ประเทศลาว) ต่อมาเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งเป็นคล้ายๆกับผู้ตรวจราชการจากลวรัฐ เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองสุโขทัย จึงส่งผลให้ พ่อขุนผาเมือง(พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถม) เจ้าเมืองราด และ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ตัดสินพระทัยจะยึดดินแดนคืน จึงยกทัพเข้าตีเมืองสุโขทัยคืนในปีพ.ศ. 1780 และสถาปนาเอกราช ให้กรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานีของชาวไทย โดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐใด

และพ่อขุนผาเมือง ก็กลับยกเมืองสุโขทัย ให้พ่อขุนบางกลางหาวครอง พร้อมทั้ง พระแสงขรรค์ชัยศรี และพระนาม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงพระราชทานให้พ่อขุนผาเมืองก่อนหน้านี้ โดยคาดว่า เหตุผลคือพ่อขุนผาเมืองมีพระนางสิขรเทวีพระมเหสี (ราชธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ซึ่งพระองค์เกรงว่าชาวสุโขทัยจะไม่ยอมรับ แต่ก็กลัวว่าทางขอมจะไม่ไว้ใจจึงมอบพระนามพระราชทาน และพระแสงขรรค์ชัยศรี ขึ้นบรมราชาภิเษก พ่อขุนบางกลางหาว ให้เป็นกษัตริย์ เพื่อเป็นการตบตาราชสำนักขอม


[แก้] อาณาจักรสุโขทัย : ราชธานี

วิหารหลวง (จำลอง) ศิลปะสมัยสุโขทัยในเมืองโบราณ
ขยาย
วิหารหลวง (จำลอง) ศิลปะสมัยสุโขทัยในเมืองโบราณ

หลังจากมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี และมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงดูแลพระราชอาณาจักร และบำรุงราษฏรเป็นอย่างดี

พระมหากษัตริย์พระองค์ที่สาม พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถทั้งในด้านนิรุกติศาสตร์ การปกครอง กฎหมาย วิศวกรรม ศาสนา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น ผลงานของพระองค์ที่ปรากฏให้เห็น อาทิ ศิลาจารึกที่ค้นพบในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่อธิบายถึงความเป็นมา ลีลาชีวิตของชาวสุโขทัยโบราณ น้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ การพิพากษาอรรถคดี ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีผลงานทางวิศวกรรมชลประทาน คือ เขื่อนสรีดภงค์ที่เป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง มีการทำท่อส่งน้ำจากตัวเขื่อนมาใช้ในเมือง

พระมหากษัตริย์ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนามากที่สุดคือ พระเจ้าลิไท ในรัชสมัยของพระองค์มีการสร้างวัดมากที่สุด กษัตริย์พระองค์สุดท้ายคือ พระมหาธรรมราชาที่ 4 หรือ บรมปาล และถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา ในที่สุด

พระอัจนะ วัดศรีชุม เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญยืนยันถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาและเศรษฐกิจ ของอาณาจักรสุโขทัย
ขยาย
พระอัจนะ วัดศรีชุม เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญยืนยันถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาและเศรษฐกิจ ของอาณาจักรสุโขทัย

1. ด้านเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ดังข้อความปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 "…ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า…" และ "...เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว..." ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมด้วยระบบการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติเช่นสังคมไทยส่วนใหญ่ในชนบทปัจจุบัน


2. ด้านสังคม ความเชื่อ และศาสนา การใช้ชีวิตของผู้คนในสมัยสุโขทัยมีความอิสระเสรี มีเสรีภาพอย่างมากเนื่องจากผู้ปกครองรัฐให้อิสระแก่ไพร่ฟ้าและปกครองผู้ใต้ปกครองแบบพ่อกับลูก ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกว่า "…ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื่อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน…"

ด้านความเชื่อและศาสนา สังคมยุคสุโขทัยประชาชนมีความเชื่อทั้งเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) ไสยศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ฮินดู และพุทธศาสนา ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 3 ว่า "…เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎิวิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดพงส์ มีป่าพร้าว ป่าลาง ป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขระพุงผี เทพยาดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ว ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยว เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันนั้นบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย…"

ส่วนด้านศาสนา ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราช ในวันพระ จะมีภิกษุเทศนาสั่งสอน ณ ลานธรรมในสวนตาล โดยใช้พระแท่นมนังคศิลาอาสน์ เป็นอาสนะสงฆ์ ในการบรรยายธรรมให้ประชาชนฟัง ยังผลให้ประชาชนในยุคนี้นิยมปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม มีการถือศีล โอยทานกันเป็นปกติวิสัย ทำให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุขร่มเย็น

3. ด้านการปกครอง ด้านการปกครองสามารถแยกกล่าวเป็น 2 แนว ดังนี้ ในแนวราบ จัดการปกครองแบบพ่อปกครองลูก กล่าวคือผู้ปกครองจะมีความใกล้ชิดกับประชาชน ให้ความเป็นกันเองและความยุติธรรมกับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อประชาชนเกิดความเดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนกับพ่อขุนโดยตรงได้ โดยไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่หน้าประตูที่ประทับ ดังข้อความในศิลาจารึกปรากฏว่า "…ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าใส…" นั่นคือเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมาสั่นกระดิ่งเพื่อแจ้งข้อร้องเรียนได้ ในแนวดิ่ง ได้มีการจัดระบบการปกครองขึ้นเป็น 4 ชนชั้น คือ

1) พ่อขุน เป็นชนชั้นผู้ปกครอง อาจเรียกชื่ออย่างอื่น เช่น เจ้าเมือง พระมหาธรรมราชา หากมีโอรสก็จะเรียก "ลูกเจ้า"

2) ลุกขุน เป็นข้าราชบริพาร ข้าราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ช่วงปกครองเมืองหลวง หัวเมืองใหญ่น้อย และภายในราชสำนัก เป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดและได้รับการไว้วางใจจากเจ้าเมืองให้ปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ไพร่ฟ้า

3) ไพร่หรือสามัญชน ได้แก่ราษฎรทั่วไปที่อยู่ในราชอาณาจักร (ไพร่ฟ้า)

4) ทาส ได้แก่ชนชั้นที่ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิตอย่างสามัญชนหรือไพร่ (อย่างไรก็ตามประเด็นทาสนี้ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่)


[แก้] ลำดับพระมหากษัตริย์

ราชวงศ์นำถม (ราชวงศ์ของพ่อขุนศรีนาวนำถม) (ยังไม่มีชื่อเป็นทางการ)

  • พ่อขุนศรีนาวนำถม (ครองราชย์ปีใดไม่ปรากฏ - พ.ศ. 1724)


(เกิดรัฐประหารหลังพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต)


ภาพวัดเขาพระบาทน้อย และพระเจดีย์  ในภาพจะสังเกตได้ว่ายังมีไม้เครื่องบนบางส่วนหลงเหลืออยู่ ซึ่งในปัจจุบันเครื่องบนเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเมืองสุโขทัย อาจจะพึ่งถูกทิ้งร้างมาไม่นานนัก ภาพถ่ายคาดว่าถ่ายเมื่อต้นรัชสมัยรัชกาลที่ 5 หรือก่อนกว่านั้น
ขยาย
ภาพวัดเขาพระบาทน้อย และพระเจดีย์ ในภาพจะสังเกตได้ว่ายังมีไม้เครื่องบนบางส่วนหลงเหลืออยู่ ซึ่งในปัจจุบันเครื่องบนเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเมืองสุโขทัย อาจจะพึ่งถูกทิ้งร้างมาไม่นานนัก ภาพถ่ายคาดว่าถ่ายเมื่อต้นรัชสมัยรัชกาลที่ 5 หรือก่อนกว่านั้น

ราชวงศ์พระร่วง


ราชวงศ์สุพรรณภูมิ

พ.ศ. 2011 เป็นประเทศราช อาณาจักรล้านนา แต่ยึดคืนมาได้ในรัชสมัยเดียวกัน หลังจากนั้น สุโขทัยก็หมดความสำคัญลง และถือเป็นเมืองย่อย ที่ขึ้นกับพิษณุโลกเท่านั้น