หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช นักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง และศิลปินแห่งชาติ นับเป็นปูชนียบุคคลอีกท่านหนึ่งของไทย โดยเป็นน้องชายแท้ ๆ ของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2454 ในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) สมรสกับ หม่อมราชวงศ์หญิงพักตร์พริ้ง ทองใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2479 มีบุตรธิดา 2 คน คือ หม่อมหลวงรองฤทธิ์ ปราโมช และ หม่อมหลวงหญิง วิสุมิตรา ปราโมช
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พักอยู่ที่บ้านในซอยพระพินิจ ซึ่งเป็นซอยย่อยอยู่ในซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร บ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า บ้านซอยสวนพลู
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นับเป็นบุคคลที่มีบุคลิกและบทบาทที่หลากหลาย และมีชื่อเสียงในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการประพันธ์ การแสดง และยังเป็นนักการเมือง ท่านเป็นผู้ก่อตั้งพรรคก้าวหน้า เมื่อ พ.ศ. 2488 ต่อมาได้ยุบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในปีถัดมา พ.ศ. 2493 ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ก่อตั้งพรรคกิจสังคม เมื่อ พ.ศ. 2517 และดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2518 และมีนโยบาย "เงินผัน" ที่รู้จักกันทั่วไปในสมัยนั้น
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Ugly American (1963) คู่กับมาร์ลอน แบรนโด เมื่อ พ.ศ. 2506 รับบทเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ชื่อประเทศ สารขัณฑ์ (Sarkhan)
ระหว่างการเล่นการเมือง ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเองที่ทุกคนรู้จักดี คือ มีวาทะและบทบาทเป็นที่แสบสันต์ให้จดจำ จึงได้ฉายาจากสื่อมวลชนว่า " เฒ่าแสบ " หรือ " เฒ่าสารพัดพิษ " "เสาหลักประชาธิปไตย" "ผู้เฒ่าซอยสวนพลู" เป็นต้น
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538 สิริอายุได้ 84 ปี
สารบัญ |
[แก้] การศึกษา
ในเบื้องต้น ท่านได้เข้าศึกษาในโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (วังหลัง) จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเดินทางไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียน Trent College จากนั้น ได้สอบเข้า 'วิทยาลัยควีนส์' (The Queen's College) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา, เศรษฐศาสตร์ และการเมือง (Philosophy, Politics and Economics - PPE) โดยสำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม (และ 3 ปีต่อมา ก็ได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยดังกล่าว ตามธรรมเนียมสำหรับผู้สำเร็จปริญญาเกียรตินิยม และได้ผ่านการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาที่ร่ำเรียนมาจนมีประสบการณ์ช่ำชองมาระยะหนึ่ง)
[แก้] ผลงานประพันธ์
[แก้] นวนิยาย
- สี่แผ่นดิน
- ไผ่แดง
- กาเหว่าที่บางเพลง
- หลายชีวิต
- ซูสีไทเฮา (นวนิยาย)
- สามก๊กฉบับนายทุน
[แก้] สารคดี
- ฉากญี่ปุ่น
- คนรักหมา
- เพื่อนนอน
- โครงกระดูกในตู้
- กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้
- ถกเขมร
- พม่าเสียเมือง
- ยิว
สมัยก่อนหน้า: ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช |
นายกรัฐมนตรีไทย (สมัยที่ {{{สมัยที่}}}) พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2519 |
สมัยถัดไป: ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช |
![]() |
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น |
ประวัติ ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ที่จังหวัดสิงห์บุรี เป็นโอรสคนสุดท้องของ พลโท พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ กับ หม่อมแดง(บุนนาค) ปราโมช ณ อยุธยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาคือ ม.ร.ว.หญิง บุญรับ พินิจชนคดี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ม.ร.ว.ถ้วนเท่านึก ปราโมช สมรสกับม.ร.ว.หญิง พักตร์พริ้ง ทองใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ มีบุตรธิดาสองคน คือ ม.ล.รองฤทธิ์ ปราโมช ม.ล.หญิง วิสุมิตรา ปราโมช การศึกษา - เริ่มต้นเรียนหนังสือที่บ้านกับ ม.ร.ว. บุญรับ พี่สาวใหญ่จนอ่านหนังสือไทยออกเมื่อ อายุ ๔ขวบ - เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้เข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับที่โรงเรียนวัฒนา (โรงเรียนวังหลัง) และต่อมาได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่๑ จนมัธยมปีที่๘ แต่ก่อนจบมัธยมปีที่๘ ได้ออกไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ - ที่อังกฤษได้เข้าศึกษาระดับมัธยมที่วิทยาลัยเทรนท์ (Trent College ซึ่งเป็นโรงเรียนประเภทพับลิคสคูล) เป็นเวลาห้าปี จึงไปเรียนต่อที่ควีนส์คอลเกจ(Queen’s college) มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยม(B.A.Honours) ในสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (ที่เรียกว่า Modern Geats 8nv Philosophy , Politics and Economics หรือเรียกโดยย่อว่า P.P.E.) และกลับประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ (เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเยือนประเทศอังกฤษ และได้ไปขอรับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดตามธรรมเนียมการศึกษาของมหาวิทยาลัยนั้น ซึ่งถือว่าผู้ที่ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมจะได้รับปริญญาโท M.A.Oxon หลังจาก๓ปี) อุปสมบท ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อุปสมบทถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-อานันทมหิดล เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๙๓ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์เป็นองค์อุปัชฌาย์ และลาสิกขาบทหลังจากงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รวมเวลาอยู่ในสมณเพศ ๕๐ วัน
การทำงานด้านการคลังและการธนาคาร - เมื่อกลับจากการศึกษาในประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ ได้เข้ารับราชการอยู่ที่กระทรวงการคลัง ได้เป็นเลขานุการของนายเจมส์ แบกซ์เตอร์(James Baxter) ที่ปรึกษากระทรวงการคลังอยู่ในช่วงสั้น และกลับมารับราชการที่กรมสรรพากรเมื่อนายแบกซ์เตอร์ลากลับอังกฤษ - เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ พระยาไชยยศสมบัติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารสยามกัมมาจลทุนจำกัด (ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ในปัจจุบัน) ได้ชักชวนให้ไปทำงานธนาคาร จึงลาออกจากราชการไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยสมุห์บัญชีที่สำนักงานกลางของธนาคารสยามกัมมาจล ถนนทรงวาด และต่อมาได้ย้ายไปเป็นผู้จัดการธนาคารสยามกัมมาจล สาขาลำปาง เป็นเวลา ๘ ปี เป็นผู้จัดการที่เป็นคนไทยคนแรกต่อจากผู้จัดการชาวอังกฤษ งานที่สำคัญงานหนึ่ง คือหาทางให้คนไทยหันมาใช้เงินบาทไทย แทนเงินรูปีของพม่า ซึ่งเคยเป็นที่นิยมกันในหมู่คนไทยทางภาคเหนือ - เมื่อเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๖ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ซึ่งในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ขอตัว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จากธนาคารสยามกัมมาจล มาทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสำนักผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยรับผิดชอบงานทุกอย่าที่ผู้ว่าการมอบหมายให้ ตั้งแต่ร่างกฎหมาย ให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับกระทรวงการคลัง การพิมพ์ธนบัตร และการวางระบบต่าง ๆ ผลงานที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ บทบาทในการขัดขวางมิให้รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครม นำธนบัตร “ดอลลาร์ไทย” ที่ทางรัฐบาลสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนธนบัตรในระหว่างสงครามแก่ประชาชนตามที่ตั้งใจไว้ และบทบาทในการออกพระราชบัญญัติควบคุมเครดิตเพื่อป้องกันเงินเฟ้ออันเนื่องมาจากภาวะสงคราม และการใช้มาตรการจำหน่ายพันธบัตรทองคำ เพื่อแก้ภาวะเงินเฟ้อและรักษาค่าเงินบาท - ลาออกจากธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ - ในระยะปลายสงครามโลกครั้งที่สอง และหลังสงครามโลกใหม่ ๆ ประเทศไทยมีธนาคารพาณิชย์เอกชนเกิดขึ้นหลายธนาคาร ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีบทบาทในการก่อตั้งธนาคารใหม่ ๒ ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๗ ในฐานะญาติของผู้ก่อตั้งและรับตำแหน่งรองประธานกรรมการ (พ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๒๔) โดยมี ม.ร.ว.หญิงบุญรับ พินิจชนคดี ซึ่งเป็นพี่สาวดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ จนเมื่อ ม.ร.ว.หญิงบุญรับ ถึงแก่กรรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมาจนถึงแก่อสัญกรรม (พ.ศ. ๒๕๒๔ – ๒๕๓๘) - ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ มีส่วนร่วมก่อตั้งธนาคารแหลมทองในฐานะที่คุ้นเคยกับกลุ่ม “นัน-ทาภิวัฒน์” ผู้ก่อตั้งในช่วงแรก การรับราชการทหาร -ในระหว่างที่ทำงานธนาคารสยามกัมมาจล สาขาลำปาง ถูกเกณฑ์ทหาร ๒ ครั้ง ในระหว่างสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๔) เข้าร่วมในกองทัพที่ไปตีเชียงตุง ได้รับพระราชทานยศสิบตรี - ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตรี นายทหารพิเศประจำกรมทหารราบที่๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ งานทางการเมือง - เป็นผู้ริเริ่มตั้งพรรคการเมืองพรรคแรกในเมืองไทย โดยร่วมกับเพื่อน ๆ คือ นายสุวิชช พันธเศรษฐ นายสอ เศรษฐบุตร พระยาสุรพันธเสนี ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ และม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน์ จัดตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า พรรคก้าวหน้า - ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในจังหวัดพระนคร เขต๓ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ - เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๘๙ (เป็นงานชิ้นแรกในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร - เป็นผู้ริเริ่มและจัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดยยุบพรรคก้าวหน้ามารวมเป็นพรรคการเมืองใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าพรรค และม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขาธิการพรรค - ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในคณะรัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ (๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ ถึง ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ ) - ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๑ - ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยราชการกระทรวงการคลัง ในคณะรัฐบาลชุดนายควง อภัย-วงศ์ (๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๑ ถึง ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑) โดยมีพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง - รัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ ถูกคณะรัฐประหารบังคับให้ลาออก และได้นำจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนเมื่อ๘ เมษายน ๒๔๙๑ พรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นฝ่ายค้านในสภา
- ลาออกจากสมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๔๙๑ เหตุเพราะไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร - เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ ในคณะรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และลาออกเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๒ - เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๐๒ ถึง ๒๕๑๑ - เป็นสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๑๑ ถึง ๒๕๑๔ - เป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๖ - เป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๖ ถึง ๒๕๑๗ (ลาออกจากตำแหน่งประธานสภาเมื่อ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๗) - เป็นผู้จัดตั้งและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกิจสังคมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ มีนายบุญชู โรจนเสถียร เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก - ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๘ โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต๑ (ดุสิต) - ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๑๘ ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๙ และรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๙ - ในคราวเลือกตั้งทั่วไป ๔ เมษายน ๒๕๑๙ สมัครรับเลือกตั้งในเขต ๑ (ดุสิต) แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง - ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต๒ (สัมพันธวงศ์ บางรัก พระนคร และคลองสาน) ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ - วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกิจสังคม และไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นการยุติบทบาททางการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่นั้นมา - เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกิจสังคมชั่วคราว และลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นการถาวร เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๔ งานเขียนและงานหนังสือพิมพ์ งานเขียนที่ได้รับการพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกเริ่มตั้งแต่ศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ โดยเป็นบรรณาธิการหนังสือ “สามัคคีสาร” ของนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษ ต่อมาเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้ว ได้เขียนบทความภาษาอังกฤษในหนังสือพิมพ์ ลิเบอร์ตี้(Liberty) ซึ่งเป็นหนังสือในเครือศรีกรุง และไทยราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๘๗ มีนายสอ เศรษฐบุตร (หลวงมหาสิทธิโวหาร) เป็นบรรณาธิการและแปลเป็นภาษาไทยลงในหนังสือพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งนายสละ ลิขิตกุล เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ และต่อมาได้เขียนบทความภาษาไทยลงในหนังสือพิมพ์ศรี-กรุงด้วย ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์เกียรติศักดิ์ ตามคำขอของนายสละ ลิขิตกุล บรรณาธิการในขณะนั้น ชีวิตของการเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์เริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓ มีนายสละ ลิขิตกุล เป็นบรรณาธิการ โดยม.ร.ว.คึก-ฤทธิ์ ปราโมช เป็นทั้งเจ้าของ ผู้อำนวยการ และนักเขียนประจำ งานเขียนมีทั้งนวนิยาย บทความ รวมทั้งบทบรรณาธิการด้วย งานด้านการศึกษาและการสอน - เริ่มชีวิตการเป็นอาจารย์ ครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ถึง ๒๔๘๕ เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาการธนาคารและเครดิตสถาน ในระดับปริญญาโท ทางเศรษฐศาสตร์และสอนบัญชีและธนาคาร ในระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางบัญชี - เริ่มสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และได้สอนสืบมาเป็นเวลานานกว่าสิบปี - ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้มีบทบาทร่วมกับหลวงอังคณานุรักษ์และนายใหญ่ ศวิตชาติ ในการเสนอพระราชบัญญัติจัดตั้งคณะรัฐศาสตร์ขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษเมื่อคณะรัฐศาสตร์เริ่มเปิดการเรียนการสอน คือ ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ถึง ๒๔๙๒ โดยสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ นอกจากการสอนตามที่หลักสูตรกำหนด ยังได้เสริมความรู้นอกหลักสูตรให้แก่นิสิตทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ปรัชญาและการเมืองไทย - เมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดตั้งคณะศิลปศาสตร์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ม.ร.ว. คึก-ฤทธิ์ ปราโมช มีบทบาทในการช่วยคณาจารย์ของคณะศิลปศาสตร์ ชี้แจงทำความเข้าใจทั้งกับนักศึกษาและต่อสาธารณชนผ่านหนังสือพิมพ์สยามรัฐถึงคุณค่าของการศึกษาวิชาความรู้ทั่วไป(Liberal Arts) ก่อนเข้าสู่การศึกษาทางวิชาชีพ และได้รับหน้าที่สอนในฐานะอาจารย์พิเศษในหลักสูตรวิชาพื้นฐานของคณะศิลปศาสตร์เป็นครั้งคราว นับแต่ครั้งแรกที่เปิดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. ๒๕๐เป็นต้นมา โดยเป็นผู้สอนในวิชาศาสนาเปรียบเทียบ วิชาปรัชญาและวิชาวัฒนธรรมไทย - ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรวิชาพื้นฐาน พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดี ได้ประทานคำแนะนำแก่คณะกรรมการปรับปรุงหลักสูตรว่าในการปรับปรุงขอให้คำนึงถึงการนำเรื่องของไทยมาประยุกต์ให้มากขึ้น จึงเกิดวิชาใหม่คือ วิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาเป็นผู้วางหลักสูตร และวางแผนการสอน โดยแบ่งการสอนเป็นส่วน ๆ มีอาจารย์หลายคนร่วมรับผิดชอบ รวมทั้งได้นิมนต์พระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ ปัจจุบันคือ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช พระสาสนโสภณตอบรับนิมนต์มาสอนเรื่องพุทธศาสนา หลักสูตรวิชาพื้นฐานและวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย ได้กลายเป็นต้นแบบที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ได้นำไปปรับปรุงการเรียนการสอน จนในที่สุดทบวงมหาวิทยาลัย ได้กำหนดเป็นนโยบายให้ทุกมหาวิทยาลัยมีหลักสูตรวิชาพื้นฐานรวมกันอย่างน้อย ๓๐ หน่วยกิต พร้อม ๆ กับการสอนวิชาอารยธรรมไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ดำริจัดตั้งโครงการไทยคดีศึกษาขึ้นตามพระดำริของพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดี ได้ทรงมอบหมายให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการบริหารโครงการไทยคดี-ศึกษา ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายทั้งในด้านการบริหารและการศึกษาวิจัย การจักสัมมนาทางวิชาการ สัมนาสาธิตนาฏศิลป์และดนตรี รวมถึงการจัดแสดงโขนธรรมศาสตร์และมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งโครงการไทยคดีศึกษาขึ้นเป็นสถาบันไทยคดีศึกษา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการสถาบันไทยคดีศึกษาสืบต่อมาจนถึงวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงได้ขอลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี -นอกจากที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษ และผู้บรรยายพิเศษในสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งวิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศ ในหัวข้อที่หลากหลาย : ปรัชญา การเมือง เศรษฐกิจ ดนตรี นาฏศิลป์ และวัฒนธรรมไทยแขนงอื่น
งานด้านศิลปะวัฒนธรรม -พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาทรงครอบครูพระพิราพแก่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ด้วยพระองค์เองในพิธีไหว้ครูและครอบโขนละครที่จัดขึ้น ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ -อัจฉริยะภาพทางด้านศิลปะของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปรากฏในงานเขียน ซึ่งมีทั้งงานประพันธ์และงานวิจารณ์ งานแสดงนาฏศิลป์และดนตรีประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่นาฏศิลป์ระดับสูง คือ โขน ละคร ไปจนถึงศิลปะพื้นบ้าน เช่น การเล่นสักวา เพลงเรือ เพลงฉ่อย งานส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะและดนตรีไทย ที่สำคัญที่สุดคือ การจัดตั้ง “โขนธรรมศาสตร์” ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ เพื่ออบรมให้เยาวชนไทย เข้าใจถึงเรื่องของโขน ซึ่งถือว่าเป็นศิลปะสูงสุดของไทย -ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๘ เกียรติประวัติด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้รับพระราชทานปริญญาวารสารศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้รับพระราชทานตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๐ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับพระราชทานปริญญารัฐศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๘ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้รับพระราชทานพระเกี้ยวทองคำในฐานะผู้มีผลงานดีเด่นด้านส่งเสริมภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ๑ ธนวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ได้รับปริญญาเทคโนโลยี ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย อื่น ๆ -นายกกรรมการบริหารช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ ถึง ๒๕๓๐ -ประธานกรรมการอำนวยการหอพักรัชดาภิเษก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.๒๕๑๔ ถึง ๒๕๑๘ -ประธานกรรมการบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์ -ประธานกรรมการบริษัทภูมิภวัน -ประธานกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไทย-ฟูจิ จำกัด -ประธานกรรมการบริษัทพรอพเพอร์ตี้ แคร์เซอร์วิสเซส อสัญกรรม การเจ็บป่วยปรากฏเป็นครั้งคราวนับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เดินทางไปรับการตรวจและรักษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แพทย์ต้องผ่าตัดแคลเซียมเกาะกระดูกไขสันหลัง จากนั้นต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นระยะ ๆ ด้วยโรคประจำตัว คือ โรคเบาหวาน ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาในการรักษานานเดือนเศษ นับแต่นั้นมาอาการเจ็บป่วยจากโรคเดิม และโรคแทรกซ้อนปรากฏขึ้นเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งครั้งหลังสุดเมื่อวันที่๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ด้วยระบบการทำงานของอวัยวะภายในเสื่อม และถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เวลา ๑๐.๕๘ น. สิริรวมอายุได้ ๘๔ ปี ๕ เดือน ๒๐วัน