จูล่ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จูล่ง
ขยาย
จูล่ง

จูล่ง แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ ในยุคสงครามในยุคสามก๊กของประเทศจีน ในวรรณกรรมสามก๊ก จูล่งเป็น 1 ใน 5 ขุนพลทหารเสือของเล่าปี่

จูล่งเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกาจจากเซียงสัน เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเซียงสัน มีแซ่ เตียว (จ้าว) สูงประมาณ 6 ศอก หน้าผากกว้าง ตาโต คิ้วดก นิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ ใช้ทวนเป็นอาวุธ พาหนะคู่ใจ คือม้าสีขาว คอยติดตามเล่าปี่ และขงเบ้ง จูล่งเป็น 1 ใน 5 ขุนพลทหารเสือที่ เล่าปี่แต่งตั้งขึ้น ประกอบด้วย จูล่ง กวนอู เตียวหุย ม้าเฉียว และฮองตง สร้างวีรกรรมครั้งสำคัญคือ จูล่งฝ่าทัพรับ อาเต๊า โดยที่ตัวคนเดียวฝ่าช่วยชีวิตท่ามกลางทหารและองครักษ์มากมายของโจโฉที่ยกทัพลงทางใต้ หวังรวบรวมแผ่นดิน ฝ่าออกมาคืนให้แก่เล่าปี่อย่างสาหัส ฆ่าทหารเอกและทหารเลว ของโจโฉมากมาย ติดตามเล่าปี่ตลอดและหลังจากที่เล่าปี่เสียชีวิตลง จูล่งกลายเป็นเป็นทหารเอกของขงเบ้ง เมื่อยามศึกยังสู้แม้ตัวเองแก่แล้ว มีครั้งหนึ่ง ก่อนรบศึกกับฝ่ายวุยก็ก ช่วงนั้นขงเบ้งเลือกทหารให้ไปรบ แต่กลับไม่เลือกจูล่ง เพราะขงเบ้งว่าจูล่งแก่แล้ว แต่จูล่งกับแย้งขี้นมา (พูดว่าอะไร ยังไม่ทราบ) จูล่งเสียชีวิตเมื่อ 03.00น หลังจากที่จูล่งตาย เล่าเสี้ยนจึงร้องออกมาว่า "แขนข้าขาดไปข้างนึงแล้ว" และอีกครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่รบกับเล่าเจี้ยงขณะกำลังกินเลี้ยงเนื่องจากเล่าปี่ได้ม้าเฉียวมาเป็นพรรคพวก ขณะกินเลี้ยงทหารเล่าเจี้ยงก็ยกทัพมาพอดีจูล่งจึงลงไปรบเพียง 3 นาที เมื่อเล่าปี่ร้องเรียกอาหารมาเสิร์ฟกับได้หัวของขุนพลฝ่ายตรงข้ามแทนม้าเฉียวจึงนึกชื่นชมจูล่งว่าเป็นยอดทหารโดยแท้จริง

[แก้] หมายเหตุ

  • ปีเกิดของจูล่ง บางตำราเขียนไว้ว่าเกิดในช่วง ค.ศ. 157 - 159 และบางตำราเขียนไว้ว่าเกิด ค.ศ. 168


  จูล่ง เป็นบทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ จูล่ง ในภาษาอื่น สามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ๆ ด้านซ้ายมือ

เจ้าหยุน (เตียวฮุ้ง หรือเตียวหุน พ.ศ.711 - พ.ศ. 77) ชื่อรองคือ จื่อหลง (จื่อเล้ง..จูล่ง)แปลว่ามังกรน้อย คนชาวเมือง ฉานซานเจินติ้น (เซี่ยซัวจิงเตี่ย..เสียงสาน)

จูล่ง มีร่างกายสูง 8 เชี๊ยะ (ประมาณ 1.89 เมตร) องอาจกล้าแกร่ง วัยเด็กท่องเที่ยวไปทั่วเมือง

ศักราช ชูผิน (ชอเพ้ง) ปีที่ 2 พ.ศ. 734 อ้วนเสี้ยว ได้ตั้งตัวเป็นเจ้าเจ้าเมือง อี้โจวมู่ (เอ็กจิวมก..กิจิ๋ว) ได้เป็นอริแย่งชิงความเป็นใหญ่กับ กงซุนจ้าน (กงซุงจั่ง..กงซุนจ้าน)

จูล่ง ได้เป็นผู้นำนำเหล่าชาวเมือง เสียงสาน มาขึ้นต่อ กงซุนจ้าน กงซุนจ้าน ได้กล่าวเปรียบเปรยกับ จูล่ง ว่า

“ได้ข่าวมาว่า เหล่าชนชาวเมืองต่าง ๆ ต่างนิยมในตัว อ้วนเสี้ยว แต่เหตุไฉนจึ่งมีพวกของท่านเพียงพวกเดียวมาชื่นชมอยู่กับข้า พวกเจ้าจักมิเสียใจภายหลังหรือ..”

จูล่ง ตอบโดยทันควันว่า

“ภายใต้หล้ากำลังยุ่งเหยิง มิทราบว่าใครถูกใครผิด เหล่าประชาราษฎร์เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า พวกข้าได้ปรึกษากันแล้วว่า จักขอเข้ากับคนที่มีคุณธรรมช่วยปราบทุกข์เข็ญ”

เตียวฮุ้ง จึ่งได้ร่วมออกศึกเคียงคู่กับ กงซุนจ้าน

และในปีเดียวกันนั้นเอง เล่าปี่ ก็ได้มาขออาศัยอยู่กับ กงซุนจ้าน เล่าปี่ มีความสนิทชมชอบกับ เตียวฮุ้ง ยิ่ง ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ จูล่ง ต่าง ๆ

จูล่ง ก็ได้ให้ความเคารพแก่ เล่าปี่ ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ต่างรักใคร่รู้ใจซึ่งกันและกัน

ด้วยการคบค้าร่วมกันทำศึกแย่งชิงใต้หล้ากับ กงซุนจ้าน นานหลายปี จูล่ง เริ่มมีความรู้สึกว่า กงซุนจ้าน เป็นผู้นำที่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ติดนิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ ใช้คนและรักษาน้ำใจผู้คนมิเป็น ทำการใหญ่คงมิสำเร็จ มิสมกับการเป็นเจ้าคนนายคน จึ่งคิดหาทางปลีกตัวจาก

มินาน พี่ชาย จูล่ง ตาย จึ่งได้อ้างขอตัวไปช่วยงานศพพี่ชายที่บ้าน

เล่าปี่ รู้ดีว่า จู่ล่ง ไปเที่ยวนี้แล้วจักมิกลับมา มิความเสียดายตัว จูล่ง มิวาย เมื่อตอนที่กล่าวคำร่ำลากันนั้น จูล่ง ได้กล่าวให้คำมั่นแก่ เล่าปี่ อย่างหนักแน่นว่า

“ชั่วชีวิตของข้านี้ คงมิสามารถลืมบุญคุณของท่าน..”

ฤดูใบไม้ผลิ ศักราช เจี้ยนอัน ปีที่ 5 พ.ศ. 753 เล่าปี่ ถูก โจโฉ โจมตีแตกพ่าย หนีไปพึ่งอาศัย อ้วนเสี้ยว

ขณะนั้น เล่าปี่ หนีหัวซุกหัวซุนไปคนเดียว จับพลัดจับผลูพบกับ จูล่ง ณ เมือง เย่ว์เฉิน (เงี๊ยบเซี้ย) ต่างมีความสนิทสนมกัน นอนร่วมเตียงเดียวกัน

และลักลอบส้องสุมผู้คนได้ประมาณ 100 คน และแซ่ซ้องสรรเสริญ จูล่ง ว่าเป็นมือขวาของ เล่าปี่ ตั้งแต่นั้นมา จูล่ง ก็ติดตาม เล่าปี่ แย่งชิงทำศึกทุกทั่วระแหง

ศักราช เจี้ยนอัน ปีที่ 12 แฮหัวตุ้น แม่ทัพของ โจโฉ ได้ยกทัพมาบุกโจมตี เล่าปี่ ได้รบพุ่งกัน ณ สมรภูมิ ปูว่าง (พักม่อ..พักหมอ) ปัจจุบันคือเมือง ฟานเฉิน (ฮวงเซี้ย) ในมณฑล เหอหนาน

จูล่ง สามารถจับเป็นนายทัพของ โจโฉ เซี่ยโฮ่วหลาน (แฮ่ฮั่วลั้ง..แฮหัวหลาน) ได้

แต่เนื่องจากว่า จูล่ง และ แฮหัวหลาน เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ด้วยความสนิทสนมใกล้ชิด

แฮหัวหลาน ได้ขอร้องให้ จูล่ง ปล่อยตัวเขาไป แต่ จูล่ง มิยอมให้เรื่องส่วนตัวมาพัวพันธ์กับเรื่องส่วนรวม จึ่งได้เกลี้ยกล่อม แฮหัวหลาน ให้ยอมแพ้ต่อ เล่าปี่

จูล่ง ได้ปรึกษากับ เล่าปี่ ให้ประหาร แฮหัวหลาน ตามกฎอัยกาศึกของกองทัพ แม้จักมีความสนิทชิดชอบกันอย่างไร แต่กฎอัยกาศึกของกองทัพนั้นหนักแน่นสำคัญกว่า แม้ว่าเรื่องนี้จักมิค่อยสำคัญ แต่ก็แสดงความเป็นประจักรพยานถึงความเด็ดเดี่ยวของ จูล่ง

เดือนที่ 9 ศักราช เจี้ยอัน ปีที่ 13 พ.ศ. 751 เล่าปี่ พ่ายแพ้สงคราม ณ สมรภูมิ ฉานปัน (เชี่ยงปัง) ละทิ้งกองทัพและครอบครัวหลบหนีไปทางใต้พร้อมด้วยทหารม้า 10 กว่านาย

แต่ จูล่ง กลับมิยอม ได้หันหน้ามุ่งเหนือสู้ศึกตะลุยเข้าไปในกองทัพฆ่าฟันฝ่าทหารของข้าศึกมากมาย

ขณะนั้น ได้มีคนมากล่าวโทษ จูล่ง ต่อ เล่าปี่ ว่า

“จูล่ง ได้ยอมสวามิภัคดิ์ต่อข้าศึกแล้ว”

แต่ เล่าปี่ ได้ใช้ทวนเคาะศีรษะของผู้กล่าวหา ตอบว่า

“จูล่ง มิมีวันทิ้งจากข้าไป..”

สักชั่วครู่ จูล่ง ก็ควบม้ากลับมา นอกจากตัวเองปลอดภัยมิเป็นอันตรายแล้ว ภายในอ้อมอก ยังนำเด็กทารกวัย 1 ขวบมาด้วย นั่นก็คือ โฮ่วจู่หลิวเสี้ยน (เอ่าจู้เล่าเซี้ยง) พร้อมด้วยมารดานาง กำฮูหยิน กลับมาอย่างปลอดภัย

เมื่อก่อนสงครามยุทธนาวี เซ็กเพ็ก เล่าปี่ ได้แต่งตั้ง จูล่ง เป็นแม่ทัพ หยาเหมินเจียนจวิน (เง่มึ้งเจียงกุง)

ภายหลังศึกยุทธนาวี เซ็กเพ็ก จูล่ง ได้ติดตาม เล่าปี่ บุกยึด เกงจิ๋ว ได้หลายหัวเมือง

เล่าปี่ ได้แต่งตั้ง จูล่ง เป็นแม่ทัพรอง เฝ้าระวังรักษาเมือง กุ้ยหยาน (กุ้ยเอี้ยง) ปัจจุบันอยู่ใกล้เคียงกับเมือง เซนเสี้ยน (ติ่มกุ่ย) ในมณฑล หูหนาน แทนเจ้าเมือง เตียวหวม

เตียวหวม มีพี่สะใภ้ม่ายนางหนึ่ง นาง พานซื่อ (พางสี) มีความสวยสดงดงามดั่งดรุณีแรกเริ่ม เตียวหวม ได้แนะนำนางให้เป็นภรรยาของ จูล่ง แต่ จูล่ง ยืนยันเสียงเข็งตอบปฏิเสธ

จึ่งมีคนพยายามแนะนำ จูล่ง ให้ยอมรับนางเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ จูล่ง กลับให้ความเห็นว่า

“เตียวหวม เพิ่งเข้ามาสวามิภัคดิ์ มิทราบว่ามีจิตใจมั่นคงแค่ไหน แต่จักนำพี่สะใภ้มาล่อซื้อใจข้า หญิงงามทั่วหล้ายังมีอีกจำนวนมาก..”

มินาน เตียวหวม ก็ได้หลบหนีจากไป

ศักราช เจี้ยนอัน ปีที่ 14 พ.ศ. 752 เล่าปี่ ได้ตกแต่งน้องสาวของ ซุนกวน เป็นภรรยา

นาง ซุนซื่อ (ซุงสี) ได้ฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่เด็ก เมื่อนางแต่งงานกับ เล่าปี่ ได้นำเหล่ากองทหารหญิงติดตามมาด้วย 100 กว่านาง พร้อมด้วยผู้ติดตามและองค์รักษ์จำนวนมาก

เล่าปี่ มีความเกรงกลัวว่าจักควบคุมเหล่าทหารหญิงนี้มิอยู่ และยังเกรงว่าจักถูกทรยศหักหลัง เหล่าทหารหญิงและผู้ติดตามนาง ซุนฮูหยิน เหล่านี้ ต่างก็มีทีท่าอวดดีจองหอง มิมีใครกล้าตอแยสามารถควบคุม

เล่าปี่ จึ่งได้มอบหน้าที่ให้ จูล่ง ควบคุมจัดการะเบียบภายใน

ด้วยความสามารถเป็นคนเจ้าระเบียบและเคร่งครัดในกฎวินัย จูล่ง จึ่งสามรถควบคุมกำกับนางเหล่านี้อยู่ราบคาบ

ต่อมา เล่าปี่ ได้ไปทำศึกธุระกิจ ณ เมือง ยิโจว (เอี๊ยะจิว) ซุนกวน ได้ลอบส่งกองทัพเรือมารับน้องสาวกลับ และให้จับตัว เล่าเซี้ยง ไปเป็นตัวประกันทวงดินแดน เกงจิ๋ว คืน

จูล่ง และ เตียวหุย ได้ทำการขัดขวาง และนำตัว เล่าเซี้ยง (อาเต้า) กลับคืนมาได้

ศักราช เจี้ยนอัน ปีที่ 17 พ.ศ. 755 เล่าปี่ เริ่มบุกโจมตี เล่าเจี้ยน มีคำสั่งให้ จูกัดเหลียง, เตียวหุย, และ จูล่ง, ยกกองกำลังมาช่วย

จูล่ง ได้ยกทัพมาทาง เจียนโจว (กังจิว) ปัจจุบันคือเมือง ฉงซิ่น ผ่านมาถึง เจียนหยาน (กังเอี้ยง) ปัจจุบันคือเมือง ลู่โจว ในมณฑล เสฉวน เตรียมพร้อมบุกโจมตีเมือง เฉินตู (เซ่งโตว..เซงโต๋)

เมื่อ เล่าปี่ บุกยึดเมือง เซงโต๋ ได้สำเร็จ ได้แต่งตั้ง จูล่ง ในตำแหน่งแม่ทัพ ยิจวินเจียนจวิน (เอ๊กกุงเจียงกุง..แม่ทัพอารักษ์กองทัพ)

ขณะนั้น เล่าปี่ กำลังคิดแผนแบ่งแยกดินแดนเมือง เซงโต๋ ทั้งภายนอกภายใน เรือกนาสวนไร่ที่นา ให้เป็นรางวัลแก่เหล่าทหารผู้มีความดีความชอบ จูล่ง ได้คัดค้านว่า

“บัดนี้เหล่าพลเมืองชาว เอี๊ยะจิ๋ว ได้รับความทุกข์ยากลำบากจากภัยของสงคราม เรือกสวนนาไร่ต่างถูกทำลายหมดสิ้น ควรแบ่งที่ทางให้ประชาชนทำกินเลี้ยงปากท้องเสียก่อน แล้วภายหลังจึ่งค่อยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”

เล่าปี่ เห็นด้วย

ศักราช เจี้ยนอาน ปีที่ 24 พ.ศ. 762 จูล่ง ได้ติดตาม เล่าปี่ ทำศึก ณ ดินแดน ฮันต๋อง

กองทัพ จ๊ก สามารถฆ่าแม่ทัพ เซี่ยโฮ่วย่าน (แฮ่โหวเอี่ยง..แฮหัวเอี้ยน) ได้

โจโฉ ได้ยกกองทัพใหญ่มาบุกชิงดินแดน ฮันต๋อง คืน

ครั้งหนึ่ง ทหารหน่วยเสบียงของ โจ ได้ขนลำเลียงกองเสบียงผ่านมาถึงเชิงเขา เป่ยซาน (ปักซัว)

หวงจง (อึ่งตง..ฮองต๋อง) ได้ถือโอกาสวางแผนบุกยึดกองเสบียงของ โจโฉ ได้นัดหมายกับกองกำลังของ จูล่ง เข้าบุกยึดพร้อมกัน

ฮองต๋อง ยกทัพมามิทันกาล จูล่ง พร้อยด้วยกองกำลังทหารม้ามิกี่สิบนายถูกข้าศึกรายล้อม หน่วยกล้าตายเหล่านี้ได้ฟันฝ่าออกจากวงล้อมได้

หนีไปได้มินาน ก็ได้พบกองกำลังส่วนใหญ่ของ โจโฉ

จูล่ง ได้ปะทะทำศึกประจานบานกับกองทัพหน้าของ โจโฉ กองทัพของข้าศึกต่างหนุนเนืองกันเข้ามาอย่างหนาแน่น

จูล่ง รบพลางถอยหนีพลาง ทหาร โจ ต่างรายล้อมทหารของ จูล่ง

จูล่ง ได้ฟันฝ่าตะลุยออกมาได้เพียงลำพัง เมื่อหันหลังกลับไปดู ก็เห็นนายทัพของตน จางตู้ (เตียตู่) กำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ในวงล้อม

จู่ล่ง ได้กัดฟันฟันฝ่าเข้าไปในวงล้อมฆ่าฟันข้าศึกจำนวนมากใหม่ ช่วยนายทัพ จางตู้ ฟันฝ่ากลับออกมาได้

และนำกองกำลังถอยกลับมาฝ่ากองทัพของ โจโฉ ซึ่งกำลังล้อมเมือง ณ เมือง วูหยานเสี้ยน (อูเอี่ยงกุ่ย) บุกเข้าเมืองได้

นายทัพรักษาเมือง จางอี้ (เตียเอ๊ก) มีคำสั่งให้รีบปิดประตูเมืองป้องกันข้าศึก

จูล่ง เห็นว่ากองทัพของข้าศึกเหลือคณานับ แม้นจักปิดประตูเมืองป้องกันนานแค่ไหน ก็จักรักษาเมืองมิอยู่

จึ่งได้วางแผนสั่งให้เปิดประตูเมืองรอบด้าน ให้เหล่าทหารโบกธงสะวัดไสว เร่งระดมตระเตรียมการตีกลองศึกทั่วเมือง

กองทัพ โจ ทางด้านหน้าต่างพากันสงสัยในกลศึกของ จูล่ง ต่างมิกล้าบุ่มบ่ามตีฝ่าเข้าไป

ต่างหวาดกลัวคิดถอยทัพ

จูล่ง จึ่งมีคำสั่งให้เร่งตีกลองศึกดังกระหึ่มทั่วเมือง และดังกระหึ่มไปทั่วฟ้า พร้อมทั้งสั่งให้กองเกาทัณฑ์เร่งระดมยิงเกาทัณฑ์ไปต้องกองทัพของศัตรู

ทหาร โจ ต่างพากันหวาดหวั่นสิ้น ต่างคิดหนีเอาตัวรอดเหยียบย่ำกันเอง มีจำนวนมากที่หนีลงแม่น้ำ ฮั่นสุย (ฮั้งจุ้ย) พากันจมน้ำตายเป็นอันมาก

วันต่อมา เล่าปี่ ได้มา ณ เมือง ได้เดินสำรวจร่องรอยแนวล้อมของข้าศึก และฟังคำเล่าลือถึงฝีมือการตีฝ่าวงล้อมของ จูล่ง เล่าปี่ อดใจมิได้กล่าวขึ้นมาว่า

“จู่ล่ง นั้น ทั่วร่างกายของเขาล้วนเต็มไปด้วยถุงน้ำดี (คำจีน ถุงน้ำดี กับคำว่า กล้า เป็นคำเดียวกัน)..”

ตั้งแต่นั้นมา เหล่าทหารของกองทัพ เล่าปี่ ต่างพากันยกย่อง จูล่ง ให้สมญานามว่า หู่เว่ยเจียนจวิน (โห่วอุ่ยเจียงกุง..แม่ทัพพยัคฆ์คำรณ)

ศักราช เจี้ยนอู่ ปีที่ 1 พ.ศ. 764 เล่าปี่ ต้องการบุกโจมตี ง่อ เพื่อแก้แค้นให้แก่ กวนอู น้องร่วมสาบาน จูล่ง ได้กล่าวตักเตือน เล่าปี่ ว่า

“โจรปล้นแผ่นดิน คือ โจโฉ หาใช่ ซุนกวน ไม่ ควรจักบุกทำลาย เว่ย (วุย) ก่อน จึ่งค่อยจัดการกับ ง่อ ยังมิสาย..”

“เมื่อ โจโฉ ถึงแก่กรรม บุตร โจผี ได้ช่วงชิงพระราชสมบัติ สมควรใช้โอกาสร่วมกันต่อต้าน วุย หากสามารถช่วงชิงดินแดน กวนตง มาก่อนได้ ก็จักสามารถตั้งมั่น ณ ลุ่มแม่น้ำเหลือง ลุ่มแม่น้ำ เว่ย (อุ่ย) แล้วจึ่งบุกยึดทางด้านตะวันออก ขุนนางข้าราชการเห็น เล่าปี่ เป็นเชื้อพระวงศ์ ย่อมจักให้การต้อนรับ เล่าปี่ มิควรปล่อย วุยก๊ก แต่กลับไปทำศึกกับ ง่อก๊ก หากพลาดโอกาสนี้ไป แต่กลับสร้างความแค้นกับ ง่อ ภายหลังจักพิชิต วุย ก็ลำบากยากยิ่ง”

แต่ เล่าปี่ หาฟังไม่ และด้วยเหตุผลของ จูล่ง เช่นนี้ เล่าปี่ จึงมิให้ จูล่ง ร่วมการสงคราม ให้เขาเฝ้ารักษาดินแดน เจียนโจว (เจียงจิว)

และเมื่อยาม เล่าปี่ พ่ายแพ้สงครามยับเยิน จูล่ง ได้ได้ยกกองทัพหนุนไปช่วย แต่กองทัพ ง่อ ถอยกลับเสียก่อน

เมื่อพระเจ้า โฮ่วจู่ (เอ่าจู้..เล่าเสี้ยน) ขึ่นครองราชย์แทน เล่าปี่ เนื่องจากได้สร้างความบาดหมางกับ ง่อก๊ก ทรงแต่งตั้ง จูล่ง เป็นแม่ทัพ เจินจงเจียนจวิน (เตี้ยงตังเจียงกุง..แม่ทัพอารักษ์ตะวันออก) เฝ้าระวังรักษาดินแดน ปา (ปา)

ศักราช เจี้ยนซิ่น (เกี่ยงเฮง) ปีที่ 5 พ.ศ. 770 จูกัดเหลียง ได้บุกโจมตีดินแดน ฮั่นจง (ฮันต๋อง)

ขณะนั้น ในกองทัพของ จูล่ง ได้สะสมผ้าไว้จำนวนมาก ทรงให้ จูกัดเหลียง จัดการ จูกัดเหลียง ได้สั่งให้ จูล่ง แบ่งผืนผ้าให้แก่นายทัพนายกองทั้งปวง แต่ จูล่ง ได้ให้ความเห็นว่า

“ยังมิมีความดีความชอบ จักแบ่งผ้าตบเป็นรางวัลนั้นมิสมควร ให้รอถึงโอกาส นำมาตัดเย็บเสื้อผ้าให้เหล่าทหารใช้กันถ้วนทั่วกองทัพเมื่อเดือน 10 ยามหนาวดีกว่า”

จูกัดเหลียง ก็เห็นชอบด้วย

ปีต่อมา จูกัดเหลียง ได้บุกโจมตีทางเหนือ ได้ใช้ จูล่ง เป็นทัพหน้ากองสอดแนม ถูกให้เฝ้าระวังตั้งมั่น ณ หุบเขา จีกู่ (กีกก..กีก๊ก) ได้รับการต่อต้านจากกองทัพ โจ จำนวนมหาศาล

จูล่ง ได้ใช้แผนพิชัยยุทธเดิม ทัพข้าน้อยศัตรูมาก วางแผนสู้ศึกกับข้าศึกจำนวนมาก เมื่อมีการศึกครั้งใด จูล่ง มักนำหน้าทหารเข้าตีข้าศึกเสมอ ๆ

และเมื่อนำกองทัพไปทำสงครามพ่ายแพ้ ณ ภูเขา จีซาน (กีซัว) จูล่ง ได้ควบคุมกองทัพถอยอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ตนเองรั้งหลังคอยกำกับหนีข้าศึก สู้พลางถอยพลาง กองทัพจึ่งมิได้รับความเสียหายสูญเสียข้าวของและผู้คนมากนัก

แม้ทัพหลวงของจูกัดเหลียงจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่กิสาน แต่ทัพของจูล่งกลับสามารถถอยกลับมาได้โดยไม่มีอันตรายและไม่สูญเสียทหารไปสักคนเดียว ทำให้จกูกัดเหลียงตบรางวัลให้ แต่จูล่งไม่รับ และขอให้เก็บไปมอบให้แก่ทหารผ่านศึกเมื่อสิ้นปีแทน จูกัดเหลียงจึงนึกถึงคำของเล่าปี่ที่เคยว่าจูล่งเป็นคนสัตย์ซื่อ และก็มีความคารวะจูล่งอย่างสูงมากนับแต่นั้น

ต่อมาศักราช เจี้ยนซิ่น ปีที่ 7 พ.ศ. 772 จูกัดเหลียงคิดจะเตรียมทัพบุกทางเหนืออีกครั้ง แต่ได้ข่าวว่าจูล่ง ป่วยถึงแก่กรรมก็เสียใจอย่างหนักจนหมดสติ เมื่อตื่นมาแล้วก็ว่าสิ้นจูล่งไปนี้ เท่ากับแขนซ้ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนหัก รวมมีสิริอายุประมาณ 61 ปี (บางฉบับก็ว่า 72)

ภายหลัง พระราชสำนัก จ๊ก ได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังให้แก่ จูล่ง เป็นเจ้า เจ้า ซุ่นผินโฮ่ว (สุ่งเพ่งโหว..เจ้าสู่สันติ)